THE KULTURES

Culture / Tech / Talks /

Tuesday, October 31, 2006

เปนชู้กับผี : หนังผีไทยทำเองก็ได้ง่ายจัง

เมื่อวานอดรนทนไม่ไหว ต้องแว่บไปดู "เปนชู้กับผี"
อีกหนึ่งหนังไทยที่นานๆ ผมจะอยากดูสักที
อย่างที่รู้กันว่าหนังไทยไม่ค่อยจะมีอะไรให้ดูนัก

ที่อยากดูก็เพราะว่าอยากรู้ว่า วิศิษฎ์ ศาสนเที่ยง ผู้กำกับสไตล์จัดที่ทำหนังที่เด่นทางด้านรูปแบบมากกว่าเนื้อหาอย่าง ฟ้าทะลายโจร และ หมานคร นั้น พอมาจับงานที่เน้นความลึกของตัวละคร เรื่องราวสยองขวัญแบบไทยๆ เขาจะทำได้ดีแค่ไหน
พูดแบบนี้ไม่ด้หมายความว่า หนังที่เน้นสไตล์มากกว่าเนื้อหาจะเป็นหนังที่ไม่ดีนะครับ เพราะถ้าคนทำมือถึง เขาก็สามารถใช้สไตล์มาโอบอุ้มเนื้อหาได้อย่างกลมกล่อม ซึ่งก็มาจากการที่ผู้กำกับคนนั้นเขาต้องนั่งใช้ความคิดสร้างสรรค์หัวแทบแตกในการจะสร้าง สไตล์ ของตนขึ้นมา
(ขอนอกเรื่องนิดนึงว่า ส่วนใหญ่หนังไทยไม่ถนัดในการสร้างหนังที่มีเนื้อหาหนักแน่นสักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะวัฒนธรรมของคนไทยที่รักสนุกมากกว่าจะมานั่งดูอะไรที่เคร่งเครียด ซึ่งผมว่ามีผลมาจากการที่เราทำแต่ละครที่มีพล็อตเดิมๆ วนเวียนอยู่กับเรื่องความรักอย่างเดียว มานานนับสิบๆ ปี พื้นฐานคนดูละครจึงค่อนข้างเคยชินกับเรื่องราวง่ายๆ จึงส่งผลต่อการดูหนังของคนไทยตามไปด้วย)

ปัญหาอยู่ที่ผู้กำกับหนังไทยส่วนใหญ่ ไม่ค่อยสร้างสรรค์สไตล์ของตัวเองขึ้นมา หากแต่เลือกที่จะรับสไตล์จากกระแสหนังเทศหรือหนังเอเชียที่ประสบความสำเร็จ นำมาจับยัดเข้าใส่ในหนังไทยอย่างเลอะเทอะ เสียจนไปไม่รอดกันอยู่หลายเรื่อง ซึ่งก็ยกตัวอย่างได้ชัดเจนจากหนังผีทั้งหลาย

แต่ "เปนชู้กับผี" คือหนึ่งในความพยายามที่จะแสดงให้เห็นว่า สไตล์นั้นเป็นเรื่องของการสร้าง (หรือหยิบยืมมาใช้อย่างสร้างสรรค์) ไม่ใช่การก็อปปี้

ผมไม่ขอเล่าเรื่องย่อหนังนะครับ เพราะไม่ได้ตั้งใจมารีวิวหนัง แต่อยากจะพูดถึงวิธีการที่หนังเรื่องนี้ใช้ในการสร้างบรรยากาศที่ปกคลุมหนังทั้งเรื่องไว้ได้ มันสำคัญมากนะครับที่หนังผีสักเรื่อง จะต้องมีบรรยากาศ หรือโทนหนังที่ชัดเจน เปรียบได้กับแพ็คเกจที่ห่อใส่เนื้อในไว้ ยิ่งการออกแบบหีบห่อชัดเจนและดูมีเอกลักษณ์มากเท่าไหร่ การโน้มนำคนดูไปสู่ทิศทางที่หนังต้องการก็มีสูงมากขึ้น โดยไม่ต้องใช้เนื้อหา หรือพล็อตหวือหวามาเป็นตัวช่วยให้เปลืองแรงมาก

บรรยากาศของ เปนชู้กับผี ก็คือการจับเอาธรรมชาติของวิถีชีวิตแบบไทยๆ ที่กำลังเริ่มแปลกแยกต่อยุคสมัยมานำเสนอ งงไหมครับ พูดใหม่ว่า อารมณ์ในหนังนั้นไม่ใช่กลิ่นอายของความเป็นหมู่บ้านแบบไทยๆ มีตรอกซอกซอยเยอะแยะ และมีวัดวาอารามให้หลบผีอยู่ใกล้ๆ แต่มันคือภาพรอยต่อของกรุงเทพฯ ในพ.ศ 2470-2480 ที่ชนชั้นสูงรับวัฒนธรรมตะวันตกมาอย่างเต็มเปี่ยม หากความเป็นบ้านแบบเจ้าขุนนายวังกำลังสูญสิ้น เพราะการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง บ้านหลังใหญ่โต มีพื้นที่กว้างขวางรายล้อม แต่ไร้ร้างซึ่งเพื่อนบ้าน และคนอาศัย

พื้นที่ที่แต่ก่อนผู้คนเคยอาศัยอยู่พลุกพล่าน มาวันหนึ่งกลับเงียบเหงาวังเวง...
บรรยากาศความว้าเหว่ของบ้านเรือนแบบไฮโซ ในยุคนั้นล่ะครับ คือบรรยากาศที่ เปนชู้กับผี จับไว้มั่นได้ตลอดทั้งเรื่อง

ทีนี้พอเซ็ทบรรยากาศของหนังได้แล้ว สิ่งที่ผมอยากชื่นชมคุณวิศิษฎ์อีกข้อก็คือ วิธีการที่เขาจะเล่นกับ ผี
ถ้าเป็นผู้กำกับหัวก้าวหน้า(ลงดิน)เหมือนคนอื่น เขาก็อาจะใช้วิธีการย้อนศรกลับหนังผีในช่วงนั้น พูดง่ายๆ ว่าหลอกคนดูไปมา เช่น เอ็งอยากเห็นผีออกมาช่วงนี้ใช่ไหม แต่ข้าไม่ให้ออกมาหรอก หรือเอ็งคิดว่าผีจะโผล่มาจากตุ่มใช่ไหม แต่ข้าจะให้ผีออกมาทางฝาตุ่มแทน 555 ?!?!

ถ้าหนังถูกดำเนินไปในแนวทางแบบนั้น นอกจากจะขัดกับอารมณ์คนดูแล้ว ยังลักลั่นกับสไตล์ที่สร้างขึ้นมาดิบดีจนเสียของไปในที่สุด
คุณวิศิษฎ์ ฉลาดและเข้าใจคนดูหนังผีเพียงพอว่า ถ้าคนดูอยากจะเห็นผีตอนไหน เขาก็จะได้เห็น แต่ความแตกต่างไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะเห็นผีแบบไหนหรือช่วงเวลาไหน

สิ่งที่หนังเรื่องนี้ทำได้ดีกว่าก็คือคนดูควรจะ "รู้สึก" ถึงอะไรก่อนที่จะเจอผี

เสียงจิ้งหรีดร้องระงม เสียงหมาหอนแผ่วๆ ความเวิ้งว้างของพื้นที่ในสวน เสียงเสียดสีกรากแกรกของใบไม้ เสียงอะไรสักอย่างหล่นตุบๆ อยู่ไม่ไกล ภาพเงาของคนกำลังทำอะไรที่เราไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่กล้าเฉียดใกล้ การบอกเล่าตำนานสยองทั้งจริงและแต่งเติม สิ่งเหล่านี้คือเบ้าหลอมชั้นดีที่จะผลิตจินตนาการของคนดู ผลิตความหวาดหวั่น ความไม่ไว้ใจ ให้เกิดขึ้นนานพอก่อนที่จะจ๊ะเอ๋กับน้องผีในที่สุด

สไตล์และวิธีการของหนังที่ประสานกันอย่างลงตัวนั้น ก็เพียงพอแล้วครับที่จะยกระดับหนังผีไทยๆ เรื่องนี้ขึ้นมาจากหลุมได้อย่างจริงจัง ผมมองว่า เปนชู้กับผี ไปได้สวยกว่าหนังแนวทางเดียวกันอย่าง นางนาก ด้วยซ้ำในเรื่องการพาคนดูไปจนสุดทางแห่งความหวาดกลัว

แต่ใช่ว่า เปนชู้กับผี จะไม่มีจุดด้อยเลยนะครับ ในความคิดของผมก็คือหนังพยายามที่จะเล่นกับพล็อตในตอนท้ายมากไปสักนิด จนทำให้อารมณ์หลอนๆ ที่ปกคลุมมาทั้งเรื่อง สะดุดแข้งขาตัวเองไปบ้าง หากไม่ถึงกับเสียหาย แต่ก็ยังมีข้อสนับสนุนให้ว่า พล็อตซับซ้อนที่ผูกขึ้นมานั้นมันเกี่ยวโยงกับธีมสำคัญของเรื่องอย่างชัดเจน

เพียงแต่ผมเชื่อว่า เปนชู้กับผี หาทางออกของเรื่องที่ตรงไปตรงมาได้มากกว่านี้ได้
และได้ผลทางความรู้สึกที่เท่าเทียมไม่ต่างกัน


jeeno บอกเล่า

เหตุเกิดจาก...Miss Queen




"เกิดเป็นเกย์ไทย มีชัยไปกว่าครึ่ง"

คงไม่ผิดนักสำหรับประโยคที่ดิชั้นคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง
เพราะประเทศนี้เปิดโอกาสให้คุณเธอสะบัดสะบิ้งกันอย่างเต็มเหนี่ยว
ถ้าวันไหนออกไปเที่ยว ลองมองรอบตัวดูสิ
ไม่ว่าหันไปทางไหน เหนือ ใต้ ออก ตก
หรือแม้กระทั่งที่หมกอยู่ในซอกหลืบ
อ่ะ...อย่างงงค่ะ
ดิชั้นหมายถึงสมาชิกที่ประสงค์จะไม่เปิดตัว
ก็จงอยู่ใต้ดินต่อไป ดิชั้นรู้สึกว่ามันให้อารมณ์เดียวกันกับเทปใต้ดินอะไรทำนองนั้น
ก็ไม่ได้ว่าอะไรใครหรอกค่ะ
อยากเปิดเผยเมื่อไหร่ ก็ค่อยไปลงทะเบียนที่อำเภอ
เผลอๆ จะได้เอาไว้จัดตั้งเป็นกองกำลังสำรองของชาติ
มีบทบาทเหมือนพวกเสรีไทยในสมัยโบราณ
ประชาชาติเกย์ต้องการกองกำลังเมื่อไหร่ ก็จะได้เรียกออกมาจากรูได้ทัน

เหตุที่อยากจะเล่าเรื่องนี้ในวันนี้ ก็เพราะว่าช่วงวันหยุดที่หายไป
ดิชั้นได้มีโอกาสไปชมการประกวด Miss Queen of Universe
ที่ทิฟฟานี่พัทยามา เป็นครั้งแรกที่ได้ไปดูไปชมอะไรแบบนี้จริงๆ
แต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากนัก
นั่งดูตั้งแต่ต้นจนจบ ก้ทำให้ดิชั้นพบว่าหน้าตาของนัง ก. ทั่วโลก
ยังสวยสู้เมืองไทยไม่ได้นัก แต่ก็มีการพัฒนาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
แต่ถึงแม้น้องสาวจากเมืองไทย จะสวยมากอย่างไรก็ต้องแพ้
เพราะตอบคำถามเข้าขั้นแย่ ขนาดคุณแม่ขอร้องแล้วยังช่วยไม่ได้
จึงไม่น่าแปลกใจที่สาวร่างใหญ่จาก Mexico จึงคว้ามงไปครอง

ไม่เพียงเฉพาะแต่การประกวดเท่านั้น ที่ดิชั้นพยายามจะดูอย่างตั้งใจ
ถึงแม้จะทำให้ง่วงไปบ้าง แต่ก็ยังมีสติที่ทำให้ดิชั้นสังเกตเห็นอะไรหลายๆอย่าง
ของสิ่งมีชีวิตที่คนชอบเรียกว่า "กระเทย"

(บล็อกเรื่องนี้ดิชั้นเขียนเพื่อแสดงความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ ไม่ได้เกิดจากการเกลียดสาวๆเหล่านั้น)

"กระเทย" น่าจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าจะบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
ดิชั้นลองนึกเล่นๆว่า ควรจะจดบันทึกในสิ่งใดบ้าง เพื่อเก็บไว้ในพงศาวดาร

1. วงการแพทย์ศัลยกรรมควรจะทำเกียรติบัตรมอบให้เธอเหล่านั้น
เนื่องจากว่าเธอเป็นโมเดลที่แสดงออกถึงความเจริญก้าวหน้า
และความเก่งของหมอ ให้ทั่วโลกได้รู้ว่าหมอไทย
เฉาะ ตัด เสริม เติม แต่ง ได้เก่งจริงๆ ถือว่าเป็นความสำเร็จขั้นต้น
ต่อไปควรมีการเรียกประชุมหมอศัลย์ในเมืองไทย ให้ก้าวไกลระดับโลก
ว่าด้วยเรื่อง "ศัลยกรรมอย่างไร ให้ใบหน้าไม่เป็นมะม่วงเขียวเสวย"
เพราะสังเกตให้ดีว่าทุกๆ นางจะมีใบหน้าบล็อกเดียวกัน
ถึงแม้จะมาจากคนละหมอ

2. เชื่อว่านัง ก. แต่ละนางเป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง
รู้จักการแบ่งเงินเป็นส่วนสัดและจัดระบบใช้จ่ายได้อย่างดีเยี่ยม
เช่น มีเงินน้อยก็เตรียมผ่าแต่นมก่อน แล้วถ้าได้อีกก้อนค่อยผ่าอย่างอื่นทีหลัง
เพราะยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครไปกู้เงินธนาคาร สงสัยว่าจะหาเหตุผล
เพื่อกรอกลงบนเอกสารไม่ได้ จะว่ากู้ไปเพื่อแปลงสินทรัพย์เป็นทุนก็ดูแปลกๆ

3.นัง ก. บางคนที่ดิชั้นรู้จักนั้น
มีส่วนในการช่วยสร้างสรรค์ประชากรให้ในโลกนี้ มีประชาการเพิ่มขึ้น
ไม่ว่าจะแต่งงาน มีลูก พวกเธอทำได้ทุกอย่างไม่ต่างจากผู้ชาย
ดิชั้นคิดว่าควรมีสักคนที่น่าจะได้พิจารณา
ในรางวัลโนเบล สาขา รักษาความสมดุลของโลก

4. ทางด้านการศึกษาและความเป็นอยู่ของเด็กชายไทย
ก็ดีขึ้น อันเนื่องมาจาก นัง ก. ส่วนมากมังมีทุนบริจาคให้แก่
"เด็กชายหน้าตาดีแต่ไม่มีทุนทรัพย์" อยู่เสมอ

5. เด็กๆ ในโลกนี้มีการ์ตูนดีๆ อย่าง X-Men อ่าน
ก็เพราะพวกมิวแทนท์กลายพันธุ์ในนั้น
มันน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากนัง ก. ของเรานี่เอง


นี่เป็นแค่เพียงส่วนนึงเท่านั้นนะคะ ใครที่มีข้อเสนอดีๆ ลองมาบอกกันได้
เพื่อร่วมร่าง พรบ. (เพียงรู้แล้วปฎิบัติซะ)
ว่าด้วยสิทธิให้ นัง ก. สามารถเดินบิดตูดในที่สาธารณะได้
และกรณีที่ไปชนชายใดถือว่าไม่ผิด
หากมีข้อโต้แย้ง ชายผู้นั้นจะถูกดำเนินคดีทันที
โดยต้องโทษให้นัง ก. ยื่นความจำนงแก่เจ้าหน้าที่
ว่าจะจูบและจับ หรือว่าจะจับเพียงอยากเดียว
(โดยสามารถเลือกจับได้ไม่เกิน 3 จุด)
ผลักดันให้ผ่าน ครม. (คณะเริ่ดสแมนแตน) ไปได้ด้วยดี


ขอแสดงความนับถือ

สุดารัดคอ เกย์ยุให้รำ ตำให้รั่ว

ว๊าย !!! ... ขอโทษค่ะ ผิดฉบับ


นางฟ้า...มหาประลัย

Saturday, October 28, 2006

Good Service

จุดหมายเหตุ Hachi 06

วันนี้ Hachi ไม่มีอะไรจะ present แต่อยากเข้ามาในบล็อก เพราะอยากรู้ว่าคนอื่นๆ (พวกคุณนั่นแหละ) ทำอะไรกันอยู่บ้าง (แถมเรายังหายหน้าไปจากออฟฟิศ 2 วัน)

เมื่อเย็นเราเอาแลปท็อปไปซ่อมมา ต้องรอพรุ่งนี้ถึงจะไปเอาได้ ..ว้า เครื่องมือทำมาหากินของเรา..
ไม่ดีเลย-ชั่วขณะหนึ่ง เราคิดไปทางอกุศล ว่าการทิ้งของเอาไว้กับร้านแบบนี้ จะถูกโกงได้ง่ายๆ เช่น ถูกถอดอะไหล่บางส่วนไป และได้อะไหล่เก่าๆ ใกล้พังมาใส่แทนโดยเราเองก็ไม่รู้เรื่อง ฯลฯ

เมื่อหลายปีก่อน เราเอานาฬิกา (เราได้เป็นของขวัญ และเป็นของรักของเรา) ยี่ห้อ Citizen ไปซ่อม หลังจากนั้นตั้งนาน เพิ่งสังเกตเห็นว่า ฝาปิดด้านหลังนาฬิกาที่ช่างซ่อมใส่กลับมาให้เรานั้นเป็นของโนเนมราเคาถูก

เมื่อวันพุธ เราถึงออฟฟิศตอนเกือบบ่าย 3 เพราะนั่งรถเมล์ผิดสาย เลยไปถึงประชานิเวศน์หรืออะไรนี่แหละตั้งซอย 30 กว่าๆ
เรื่องมีอยู่ว่า เราโดดขึ้นรถเมล์สายนั้นตรงป้ายสถานีรถไฟบางซื่อ (ก็เห็นป้ายบอกว่าจะผ่าน แยกพิชัย?)
แล้วเราก็ถามกระเป๋าฯ ว่า "ผ่านศรีย่านมั้ย" กระเป๋าพยักหน้าหงึก
แต่พอนั่งออกมาไกลเข้าๆ เราก็ชักเริ่มสงสัย จึงถามกระเป๋าว่า "เอ่อ มันจะเข้าศรีย่านทางไหนเหรอ?" ปรากฎว่าเขาฟังผิดเป็นที่อื่นมั้ง เราเลยต้องลง ที่ทำให้เราแอบงอนคือ เขาไม่แสดงน้ำจิตน้ำใจเช่นคืนสตางค์ให้เรา (หรือกระทั่งทำหน้าสงสารเรา)นั่งเลยมาไกลโคตร

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ คือเราอยากจะบอกว่า เราทุกคนไม่ควรจะคาดหวังสิ่งที่เรียกว่า บริการอันดีเลิศ (Good Service) จากใครเลย แม้ว่าเราจะแลกบริการนั้นด้วยการควักสตางค์จ่ายก็ตาม

คงเป็นความผิดเราเองที่แต่ไหนแต่ไรก็คิดว่า ในเมื่อจ่ายเงินแล้ว เราก็ต้องได้รับบริการที่ดี (แต่ก่อน เราเคยโวยพวกแม้ค้า พ่อค้า และพนักงานร้านต่างๆ มานักต่อนักแล้ว)

เพราะเราเคยคิดไปเองว่า ในเมื่อใช้ 'เงิน'แลก ทุกอย่างจะต้องได้ดั่งใจ แต่มันไม่ใช่

พนักงานเหล่านั้น พ่อค้า แม่ค้าเหล่านั้น ...

เขาก็มีเรื่องทุกข์ใจ หรือไปเจอกับอะไร (โดยที่เราไม่อาจรู้ได้) มาเหมือนกัน

*จุดหมายเหตุ (อีกที)*
นิ อีตา buiberry ก็มีบล็อกของตัวเองด้วยใช่มั้ย เราใส่ลิงก์ไว้ให้ข้างๆ นี่เพิ่มให้แล้วกันนะ ว่าแต่ทำไมไม่มีใครใส่ลิงก์อะไรเลย?

Friday, October 27, 2006

อยากกิน...แอปเปิ้ล



สาวๆ เคยสงสัยมั๊ยค่ะว่า ทำไมผู้ชายหน้าตาดีๆ ถึงไม่มีตกมาถึงเราสักครั้ง...

ด้วยความที่ดิชั้นมักจะมีชีวิตวนเวียนอยู่แถวสยามอยู่เป็นประจำ
ทำให้ดิชั้นนั้นสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเด็กๆ สมัยนี้
เพราะบางคนที่เห็นนั้น แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะยังเป็นเด็กถ้าเขาไม่ได้มาในชุดนักเรียนขาสั้น
แต่ละคนหน้าตาดูเป็นหนุ่มหล่อ ผิวใสวิ้ง กิ๊ง เด้ง ขนาดนั้น
ดิชั้นเห็นเป็นต้องยืนชะงัก พักกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ
คิดถึงสมัยตัวเองที่ยังเป็นสาวน้อยวัยเดียวกันขนาดนี้ ยังไม่รู้ประสีประสา กะโหลกกะลา บ้านนาฮาเฮอยู่เลย
ผิดกับหนุ่มสาวมัธยมปัจจุบัน แต่ประเด็นสำคัญของดิชั้นอยากพูดถึงหนุ่มน้อยมากกว่า
ดังนั้นจะขอละเรื่องของบรรดาน้อง(ชะ)นีเอาไว้ไม่พูดถึง

คนบางส่วนอาจจะคิดว่าการที่เด็กโตเร็วนั้นเป็นเรื่องดี เพราะจะได้มีคนมาพัฒนาประเทศชาติ
ดิชั้นก็ด้วยค่ะที่คิดว่าเป็นเรื่องดี เพราะดิชั้นจะได้มีหนุ่มๆ ให้ได้ทันกินทันใช้ ก่อนวัยชราจะมาเยือนดิชั้นในเร็ววัน
อย่าเพิ่งนึกว่าดิชั้นคิดร้ายกับเด็กๆนะคะ
ดิชั้นแค่อยากมีส่วนร่วมในการ สปช.-สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตให้แก่เด็กๆแค่นั้นเอง
ถ่ายทอดเรื่องราวที่ได้ผ่านมาก่อนให้ฟังหรือสอนสั่งเรื่องใดๆก็ตามที่น้องๆอาจจะนำไปใช้ประโยชน์ได้
เพราะเวลาต่อไปไม่ว่าอะไรก็ต้องทำเป็นอย่างแน่นอน ถ้าน้องๆมาผ่านการสอคอร์สโดยดิชั้น

จะว่าไปแล้วบ่อยครั้งเหมือนกันที่น้องๆขาสั้นเหล่านี้
ทำดิชั้นเกือบซี้แหงแก๋ ลงไปนอนแดดิ้น ลิ้นจุกปาก อยากหยุดหายใจเป็นพักๆ
เพราะแต่ละคนที่เห็นมาแบบขาว ตี๋ มีเสน่ห์ เท่ห์ทุกกระเบียด แป้งเพี๊ยซไม่ต้องโบ๊ะ โชว์แก้มสีชมพูระเรื่อ ปากบางๆแดงๆ
อู๊ยๆๆๆๆ...พูดแล้วหิว (hahaha)
แหมก็...เนดเนิง ละกัน

ดิชั้นเคยคิดเล่นๆว่า ถ้าเปรียบน้องๆเหล่านี้เป็นผลไม้ ก็ต้องเป็นอะไรที่สดใหม่น่ากินเป็นอย่างแน่แท้
เช่น ถ้าเป็นแอปเปิ้ลสักลูกหนึ่ง ลองนึกถึงตอนที่แอปเปิ้ลอยู่บนต้นในสวนตอนเช้าๆสิคะ มีหยดน้ำเกาะอยู่ด้วย
กลิ่นหอมอ่อนๆอยู่ใกล้ๆแค่เพียงปลายจมูก ผิวแอปเปิ้ลแดงๆ มันๆ
ดิชั้นล่ะตัวสั่นอยากจะไปเด็ดมาชิมจริงๆ
คงจะกัดแล้วสัมผัสได้ถึงความกรุบกรอบ กร๊วบๆๆๆๆๆ เป็นว่าเล่น

ถึงเวลานี้แล้วดิชั้นจะลองตั้งจิตอธิษฐานลองดูว่า
ชาตินี้ดิชั้นจะมีโอกาสได้เด็ดลูกแอปเปิ้ลลูกใหญ่ๆ สวยๆ ดีๆ กับคนอื่นเขาสักทีรึเปล่า
หรือถ้าหากใครที่ทีอยู่แล้ว แต่เป็นคนไม่ชอบทานแอปเปิ้ลล่ะก็
ดิชั้นขอรับต่อมาก็ได้ค่ะ ไม่ถือ!!!

นางฟ้า...มหาประลัย

Thursday, October 26, 2006

ตด

พอดีอ่านที่คุณพี่ปุ้มเขียนเรื่องฝุ่นก็เลยนึกอะไรได้

มานั่งคิดดู ร่างกายคนเราก็ผลิตสิ่งสกปรกมาเยอะเหมือนกันนะครับ ทั้งเหงื่อ ขี้ไคล ฉี่ อึ ตด

พูดถึงตด ตอนเด็กๆเคยอ่านโดเรมอนตอนหนึ่งที่ไจแอนท์ตดจนลอยได้ อ่านจบรีบกินถั่วใหญ่เลย เผื่อจะลอยได้บ้าง ฮ่าๆๆ อายจัง

รายการ Mega Clever เคยตั้งคำถามว่าถ้าคนจีนทั้งประเทศกระโดดพร้อมกันจะเป็นยังไง สงสัยไหมครับว่าคนทั้งโลกตดพร้อมกันจะเป็นยังไง

สังเกตไหมครับว่าตดที่ดังมักไม่เหม็น แต่ตดที่เหม็นมักไม่ดัง ไม่ก็ดังแค่ปิ๊บๆ ฟีบๆ ตดที่ดังและเหม็นมักมาพร้อมสสารประเภทของแข็งตามมาด้วย

ใครเคยนอนเอาผ้าห่มคลุมโปงกับแฟนแล้วตดใส่ผ้าห่มบ้าง เป็นการแกล้งแฟนที่สนุกดีนะครับ บอกแฟนไปว่า "อยากให้เธอเป็นแซลมอนรมควันไง" ผมยังไม่เคยทำนะครับ แอบมีฟอร์มอยู่

เอ๊ะ วันนี้เป็นอะไรคุยแต่เรื่องอึเรื่องตด อย่าทำหน้ารังเกียจไป ใครๆก็ตดทั้งนั้นแหละ แถมบางคนยังมีพฤติกรรมที่น่าขยะแขยงจนเรื่องอึเรื่องตดดูสะอาดไปเลยก็มี

จะว่าไป ร่างกายเราก็ผลิตสิ่งปฏิกูลมาเยอะแล้ว เราน่าจะตระหนักนะครับว่า เราควรผลิตสิ่งที่ไม่ "สกปรก" ต่อโลกกันบ้าง

เรามาหาวิธีการตดให้หอมกันเถอะครับ

ท้อฟฟี่...ร้อนแรงทุกสัมผัส ร้อนรักทุกองศา ร้อนฉ่าทุกลีลา เริงร่าทุกนาที

Wednesday, October 25, 2006

อยู่คนเดียว ถ้าจะดีกว่า...

เมื่อคืนก่อน ผมบังเอิญได้ฟังเพลงผ่านเทปคาสเซ็ท

มันเป็นเพลงเก่าๆ ของ พี่ปั่น ไพบูลย์ เกียรติเขียวแก้ว ที่ชื่อว่า "อยู่คนเดียว"

ผมจำไม่ได้แล้วว่าเป็นเพลงในพ.ศ.ไหน แต่ก็น่าจะนานพอสมควรเลยล่ะ

เป็นเพลงที่ผลิตในยุคที่พี่ปั่นสังกัดและโด่งดังอยู่กับแกรมมี่ฯ

สิ่งที่ผมติดใจในเพลงนี้ นอกจากท่วงทำนอง คำร้อง และเสียงร้องที่ผสานกันอย่างลงตัว ลงตัวในแบบที่ว่าเข้าถึงความรู้สึก และเหมาะสมกับการขับกล่อมอารมณ์ให้ไปในทิศทางที่สงบจิตสงบใจหรือรื่นรมย์ มากกว่าเพลงสมัยนี้ในเนื้อหาเดียวกัน อีกทั้งมีการโชว์ไลน์ดนตรีที่ต้องเรียกว่ากล้าทดลองอีกด้วย

แต่สิ่งที่ผมติดใจในเพลง อยู่คนเดียว จนต้องนำมาบอกเล่านี้ไม่ใช่เรื่องของความไพเราะหรอกครับ

หากเป็นเรื่องของประเด็นและอารมณ์ในเนื้อเพลงมากกว่า

อยู่คนเดียว ของพี่ปั่นนั้นเนื้อเพลงก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษอะไรมากไปกว่าเรื่องของผู้ชายคนนหนึ่งที่ตัดสินใจอยู่คนเดียว เมื่อหญิงสาวหมดใจให้แล้ว แต่พอผมฟังเพลงนี้ไปมาสัก 5-6 รอบ ก็เริ่มรู้สึกถึง "น้ำเสียง" บางอย่างของผู้ชาย ซึ่งถือได้ว่าเป็นอารมณ์ร่วมสมัยของหนุ่มๆ ยุคนั้น

นั่นคือการยึดถือศักดิ์ศรีในแบบหนุ่มโรแมนติกที่เชื่อมั่นในตัวเอง และก็ให้เกียรติในการตัดสินใจ (ทางความรู้สึก)ของผู้หหญิง แม้ว่าน้ำเสียงของเพลงจะมีอาการตัดพ้ออยู่บ้าง แต่ก็แตกต่างเหลือเกินกับอาการคร่ำครวญที่เพลงป๊อปสมัยนี้เป็นกัน

เจตนาและความรู้สึกของ อยู่คนเดียว นั้นคือการยอมรับความเป็นจริงในความสัมพันธ์ ยอมเลือกที่จะโดดเดี่ยวดีกว่าฝืนแบกรับความลำบากใจ บางคนอาจจะมองว่าเนื้อเพลงไม่ได้บอกอะไรถึงขนาดนั้นสักหน่อย แต่ถ้าลองจับ "อารมณ์" ของเพลง และนึกย้อนไปในสมัยที่สังคมยังให้เกียรติต่อความรักของคนหนุ่มสาวอยู่ ผมเชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้สึกร่วมกันได้ไม่ยาก

ฟังแล้วรู้สึกเสียดายนะครับ ที่อาการ "อยู่คนเดียว" แบบในคราก่อนแทบจะหาไม่ได้อีกแล้วในยุคที่ "ว่างแล้ว ช่วยโทรกลับ" อย่างสมัยนี้ ผมไม่ได้ต้องการจะรำลึกหรือถวิลหาอดีต หรืออยากสนับสนุนให้พี่ปั่นจัดคอนเสิร์ตอีกครั้งนะครับ (แต่ถ้าเกิดขึ้นจริง ผมจะไปซื้อตั๋วคนแรกๆ คอยดูสิ)แต่ผมยอมรับว่ากำลังโหยหาความรู้สึกของผู้ชายที่เข้มแข็ง ใจแข็งพอสำหรับความโดดเดี่ยว (เพียงชั่วคราว)และกล้าที่จะเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริง โดยไม่เข้าข้างตัวเองหรือพยายามยื้อยุดคนอื่นไว้

ความรู้สึกก้อนนี้ทำให้ผมนึกถึงหนังสั้นเรื่อง 12.20 ของเป็นเอก รัตนเรือง ที่มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ประมาณว่า
...ถ้าคุณจะบอกรักใครสักคนที่อยู่ข้างๆ คุณ คุณก็จงรีบบอกเธอเสียก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้บอก และถ้าเธอรับรักคุณแล้ว ต่อมาเลิกราจากคุณไป หรือเธอไปมีรักใหม่ ก็อย่าพร่ำเพ้อจนทำให้เธอลำบากใจ ขอให้คุณจงเก็บความอับอายและความเศร้าใจไว้เพียงลำพัง เหมือนช่วงเวลาก่อนที่คุณจะบอกรักต่อเธอ...

คืนวันนั้นเองที่ผมอยากจะ "อยู่คนเดียว" แบบนั้นให้ได้บ้าง

แม้ระหว่างที่ฟังเพลงนี้ จะมีใครบางคนนั่งฟังอยู่ไม่ห่างก็ตามที



jeeno บอกเล่า

Based on true story

Hachi on the Blog
got something to say:

เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ, บ้านของ Joyce เลขากองฯ ของเรา กำลังอยู่ในสภาพนี้
และอยู่ในสภาพนี้ มาเป็นเดือนแล้ว
...
ส่งใจไปช่วยจอยซ์ ชาวริมคลองบางกอกน้อย อ่างทอง (บ้านปุ๋ย) และทุกคนที่เจอน้ำท่วมกันด้วยนะ

หนังเกาหลีมีอะไรดี


เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมดูหนังเกาหลี เรื่องล่าสุดที่ดูเห็นจะเป็น old boy จากนั้นก็ไม่ได้ดูอีกเลย
ผมมักบอกตัวเองว่า หนังเกาหลีไม่เห็นมีดีอะไรนอกเหนือจากภาพสสวย เรื่องดี แล้วก็พล็อตเจ๋ง
(ซึ่งจริงๆ มันครบคุณสมบัติของหนังน่าดูนี่นา)
จริงๆ ผมกำลังอิจฉาหนังเกาหลีก็เลยหลอกตัวเองอย่างนั้น

เมื่อวานผมดูเรื่อง the beast and the beauty หนังตลกโรแมนติก เรื่องของสาวตาบอดที่มีแฟนขี้เหร่ ื
แต่วันหนึ่งสาวสวยคนนี้ได้คนใจดีบริจาคตาให้ ปัญหาก็คือ พระเอกหน้าเหียกคนนี้
กลัวว่าแฟนสาวของเขาจะรับไม่ได้กับใบหน้าอันน่ากลัว(จริงๆ ผมว่า ผมอาจจะน่ากลัวกว่า)

ผมพบว่าสิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่หนัง แต่ผมว่ามันน่าสนใจตรงที่เกาหลีทำอย่างไรถึงพัฒนาอุตสาหกรรมหนังได้ดีจนกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ส่งออกหนังมากสุดในเอเชีย ไม่แพ้ฮ่องกงและอีนเดีย ซึ่งถือเป็นตลาดที่มหญ่รองลงมาจากฮอลิวู้ด
เกาหลีใต้ใช้เวลาแค่
ช่วงสิบปีทำให้ตลาดหนังรู้จักบุคลิกของหนังเกาหลี

ผมเคยอ่านเจอว่า การพัฒนาหนังของเกาหลี ขับเคลื่อนเป็นแบบหน้ากระดาน เริ่มตั้งแต่รัฐบาลออกกฏหมายให้โรงหนังต้องฉายหนังเกาหลีในสัดส่วน 70:30 ส่งเสริมการทำหนังโดยรัฐบาลออกเงินให้ส่วนหนึ่งสำหรับหนังที่ผ่านการพิจารณาจากภาครัฐ(คล้ายๆ สอบชิงทุนิะไรแบบนั้น)
มีการสร้างสตูดิโอที่ลงทุนโดยรัฐบาล เปิดการสอนหลักสูตรการทำหนังอย่างอึกทึก และโปรโมทตลาดการค้าหนังอย่างเทศกาลปูซาน ฟิล์ม จนกลายเป็นที่รู้จัก สุดท้ายเกาหลีใต้ก็ประสบความสำเร็จในการสร้างหนังที่มีบุคลิกเฉพาะตัวขึ้นมาได้สำเร็จ

ผมว่าเขาฉลาดมากในการลงทุนกับหนัง เพราะเป็นอุตสาหกรรมบันเทิงที่ไปได้ไกล
และเป็นเครื่องมือโปรโมทภาพลักษณ์ของประเทศอย่างมีชั้นเชิง แถมมีอิทธิพลต่อควาวมคิดของคนได้มาก
(คิดดูว่าหนังดีๆ สักเรื่องที่เราได้ดู เราจะจำได้นานแค่ไหน)
แค่หนังสักเรื่องที่ได้รางวัลระดับโลก หรือหนังสักเรื่องที่ฮอลิวู้ดซื้อไปทำ ก็พอจะทำให้คนได้รู้จักประเทศนี้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยๆ ก็หลายล้านคน แถมอยุ่ได้นาน คิดดูว่าคุ้มแค่ไหน หลักการเดียวกันนี้เขาเอาไปใช้กับอุตสาหกรรมอย่างอื่นด้วย ทั้งละครซีรี่ย์ อย่างแดจังกึม ก็ไปดังถึงเยอรมนี เรน บีโอเอ หรือ เค หรือดอน บัง ชิงกิ ก้ดังถึงญี่ปุ่นื ซึ่งเป็นตลาดเพลงใหญ่อันดับสองของโลก ศิลปิน เคป๊อบ(ใช้เรียกศิลปินเกาหลีที่ร้องเพลงญี่ปุ๋น) ก็เรียกคะแนนจากแฟนๆ ได้มาก
เรนเองก็ได้ไปแสดงที่เมดิสัน สแควร์การ์เด้น ในนิวยอร์ค ที่ผ่านมามีศิลปินต่างประเทศ สองคนที่เคยไปแสดง คืออูทาดะ ฮิคารุจากญี่ปุ่น กับเรนเท่านั้น
เบื้องหลังของหนังเกาหลี จึงไม่ใช่แค่ขายหนังหรือบันเทิง แต่เป็นการขายวัฒนธรรมที่แนบเนียนยิ่ง
สำหรับเมืองไทยที่การพัฒนาถูกสอนให้เราคิดแบบแยกส่วนแบบนี้ ภาคประชาชนที่อ่อนแอแบบนี้
การขับเคลื่อนบันเทิงให้กลายเป็นวาระวัฒนธรรมแห่งชาติคงต้องใช้เวลาอีกมากมากนัก

Tuesday, October 24, 2006

ฝุ่น ที่ถูกเคลื่อนย้าย

Hachi on the Blog
presents 04

"ตอนที่เราทำความสะอาดบ้าน พวกเราไม่ได้กำจัดฝุ่นพวกนี้ออกไปหรอก แต่เราแค่ 'เคลื่อนย้าย' ฝุ่นเท่านั้น"
/ บทพูดของสาวใช้ในหนังเรื่อง Yes (2004)

**จุดหมายเหตุ Hachi**
ขอบคุณความเห็นของ Buiberry ในตอนที่ 3 ที่เราเขียนไป
เราเองก็คิดถึงเรื่อง 'ขยะ' มาตลอดเหมือนกัน และคำพูดของสาวใช้คนนี้ก็สะกิดใจเราเสมอ นึกถึงทีไรก็ได้แต่ถอนหายใจ คำพูดของเธอชี้ให้เราเห็นว่าโลกนี้นับวันยิ่งมีแต่ฝุ่น ความสกปรก และขยะ
และเหมือนจะตอกย้ำเราว่าตอนที่เรา 'ขนขยะไปทิ้ง' นั้น เราไม่ได้ทิ้งมัน แต่เรากำลัง 'สะสม' มันอยู่ต่างหาก!
ฟังดูน่ากลัวเนอะ

นอนใต้ละอองหนาว - งานชิ้นใหม่ ของปราบดา หยุ่น

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่ามนมา ผมพาตัวเองเข้าไปที่ร้านหนังสือนายอินทร์สาขา ท่าพระจันทร์
เพื่อที่จะขึ้นไปนั่งบนชั้นสามมุมกาแฟ เพื่ออ่านหนังสือ หรือเขียนงานผ่านโน๊ตบุครุ่นล่าสุด (สมุดจด) ตามปกติ
แต่แล้วสายตาก็พลันเห็น หนังสือเล่มผอมบางสีเทา (เล่มหนึ่งจากหลายเล่ม) ที่กำลังโปรโมตอยู่ตรงโต๊ะกลางร้าน
ดูจากอาร์ตเวิร์คแล้ว ผมฟันธงได้ทันทีว่ามันมาจากสำนักพิมพ์ไต้ฝุ่น และที่น่าสนใจกว่านั้นมันคืองานชิ้นใหม่ของ ปราบดา หยุ่น
อีกหนึ่งนักเขียนไทยเพียงไม่กี่คนที่ผมติดตามงานอยู่เป็นระยะ

"นอนใต้ละอองหนาว" คือหนังสือเล่มนั้น โดยหน้าปกประกาศตัวเองว่าคือ นวนิยายบันเทิงขนาดสั้น
ผมใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเศษๆ บนมุมกาแฟในการอ่านนวยิยายบันเทิงความหนา 107 หน้า ราคา 85 บาทเล่มนี้จบลง

ความรู้สึกแรกเมื่ออ่านจบก็คือ ยังไม่อิ่ม เหมือนกับว่าผมเพิ่งจะกินอาหารรองท้อง เรียกน้ำย่อยไปแล้ว แต่ยังไม่ทันที่เมนคอร์สจะทันได้เสิร์ฟ หน้ากระดาษของ นอนใต้ละอองหนาว ก็หมดลงเสียก่อน

เรื่องราวของหนุ่มสาวหน้าตาดี จากทั่วโลกที่แพร่ "อาการ" บางอย่างผ่านการมีเพศสัมพันธ์
นวนิยายเริ่มต้นเรื่องด้วยสาวไทยที่ออกเดินทางไปญี่ปุ่น โดยไม่รู้ว่าเธอไปทำไม ไปเพื่ออะไร แต่เธอรู้ว่าเธอจะไม่ได้กลับไปยังบ้านเกิดอีกแล้ว
เช่นเดียวกับหนุ่มสาวอีกหลายคนจากหลากประเทศที่ออกเดินทางจากถิ่นฐาน ด้วยภาวะที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ไปยังอีกซีกโลกที่ไม่รู้จัก โดยที่ตนก็ไม่รู้จุดหมายอะไรเลย หากจุดร่วมที่สำคัญของพวกเขาก็คือ การมีเซ็กส์ กับคนในย่านนั้น เพื่อถ่ายทอดสิ่งเร้นลับบางอย่างต่อกัน ...

พล็อตของนวนิยายเล่มนี้นับว่าน่าสนใจมาก การเล่าเรื่องที่แบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนๆ อย่างชัดเจน ผ่านสายตาของตัวละครแต่ละคน สลับไขว้กันไปมา ในรายละเอียดนั้นนวนิยายก็สามารถที่จะสอดแทรกแนวคิดหลักของเรื่องเข้าไปได้อย่างกลมกลืน ระหว่างที่อ่าน นั้นผมสามารถนึกภาพเป็นภาพยนตร์ตามไปได้ตลอดเรื่อง ถ้าบอกว่านี่เป็นพล็อตหนังเรื่องใหม่ที่ปราบดา จะทำร่วมกับเป็นเอก รัตนเรือง ผมก็คงเชื่อสนิทใจ (แต่ความจริงคิดว่าคงไม่ใช่)

ในความเห็นส่วนตัวของผม ที่มองนวนิยายเล่มนี้ในฐานะนวนิยาย (ไม่ว่ามันจะสั้นหรือยาวก็ตาม)
ผมกลับสนใจ นอนใต้ละอองหนาว ในเรื่องของ "ไอเดีย" มากกว่าความละเอียด นุ่มนวล หรือเผ็ดร้อน ในเชิงวรรณกรรม ไม่ใช่ว่าคุณปราบกาจะลดหย่อนฝีมือทางด้านภาษาลงไป แต่ผมคิดว่าคุณปราบดาคงจะเลือกรูปแบบที่ชัดเจนแล้วมากกว่าว่าจะต้องการสื่อสารอะไร

แต่ผมกลับเสียดายที่ว่า ไอเดีย ที่ถูกนำเสนอผ่านพล็อตที่หวือหวา และน่าค้นหาติดตามไปจนจบนั้น กลับยังไม่ได้นำพาไปสู่การสัมผัสกับแก่นหลักใจความของเรื่องได้อย่างหนักแน่นนัก เรียกว่าประเด็นหลักที่คุณปราบดามสอดแทรกมาตลอด และ (ผม) หวังว่ามันจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนเพียงพอที่จะอธิบายข้อความสำคัญได้อย่างอิ่มท้องนั้นกลับมลายหายตัวไปเสียเฉยๆ ในช่วงท้าย

ไม่ต่างจากหิมะที่ละลายเมื่อแดดยามเช้าสาดส่อง

ระหว่างนี้ผมจึงได้แต่วกกลับไปอ่าน นอนใต้ละอองหนาว อีกครั้งและอีกครั้ง เพื่อสัมผัสกับเม็ดหิมะที่ร่วงหล่นลงมาอย่างสวยงาม-อย่างเชื่องช้า
โดยไม่อยากจะคิดเลยว่าหิมะเหล่านี้กำลังจะกระแทกตัวสู่พื้นดิน

jeeno บอกเล่า

เธอ ฉัน และ ความทรงจำของวันเก่า



สงสัยช่วงนี้เหล่าพลพรรคหลายๆคนกำลังมีความรัก อันนี้ก็ไม่ทราบว่าเป็นใครเพราะเวลาถามทีไรทุกคนพร้อมใจที่จะบอกว่ายังเป็นโสด ก็จะมีเพียงบางคนเท่านั้นที่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้ได้อย่างเต็มปากถ้าหากพูดถึง แต่ไม่ว่าจะความรักในรูปแบบไหนๆ โหด ร้าย เลว ดี สุดท้ายก็เป็นสิ่งที่ทุกคนตามหามัน ไม่สามารถรับรองได้ว่าทุกคนนั้นจะเจอความรักดีๆและเดินทาง
ไปสู่จุดหมายอันที่สวยงามได้เหมือนกันทุกคนรึเปล่า ...

ผมเป็นคนหนึ่งที่เคยใฝ่ฝันถึงการมี "ความรัก"จาก"คนที่เรารัก" เคยวาดฝันไว้อย่างสวยงามตามแบบฉบับ
คิดถึงการมีชีวิตกับใครที่ดีๆสักคนที่อยู่กันจนแก่เฒ่า
และจบเรื่องราวกันอย่างมีความสุข จะว่าไปแล้วมันเป็นเหมือนเรื่องราวที่ผมมักจะได้พบเจอและรับรู้มาตั้งแต่เด็กๆ
ว่ามันควรจะเป็นเช่นนั้น
จนมาถึงทุกวันนี้ "ความรัก" ที่ผมได้พบเจอเรียนรู้กับมันนั้น ช่างต่างกันเหลือเกินกับสิ่งที่ผมเคยคิดมาตั้งแต่ตอนยังเด็ก แต่นั่นก็ไม่ได้เลวร้ายจนกระทั่งทำให้รู้สึกหมดศรัทธากับ "ความรัก"ไปได้เลย ผมเคยลองมานั่งนึกกะเพื่อนๆและคิดดูว่า
ผมเริ่มมีความรู้สึกที่จะไปรักไปชอบคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่
รู้เพียงแต่ว่าเรื่องราวของผมถ้าจะปั้นเป็นนิยายน้ำเน่าสักเรื่องก็น่าจะพอไหว และเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในช่วงชีวิตหนึ่งของผม
(แต่บอกชื่อคนที่อยู่ในเหตุการณ์จริงๆไม่ได้ทั้งหมดหรอกนะครับ...อิอิ)



ณ...โรงเรียนประจำจังหวัดแห่งหนึ่ง พ.ศ.2538

ผมสอบเข้าเรียนที่โรงเรียนนี้ได้นับว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ที่อยู่ในความทรงจำที่ดีในอันดับต้นๆของตัวเอง
เพราะใครๆต่างก็อยากที่จะเข้ามาเรียนที่นี่
แต่การที่ได้เข้ามานั้นผมไม่คิดมาก่อนว่าโรงเรียนแห่งนี้
จะทำให้ผมนั้นได้เรียนรู้ประสบการณ์อะไรมากมายที่นอกเหนือจากชีวิตนักเรียน
ห้องเรียนภาษาอังกฤษ 231
วันจันทร์ 8.30 น.
ม.1/5
เทอม 1

ห้องเรียนที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยกันเซ็งแซ่ดังไปหมดทั่วทุกโต๊ะ ความตื่นเต้นของเด็กมัธยมในวันแรกกับการที่ได้มาเจออะไรใหม่ๆเต็มไปหมด
เพื่อนหน้าใหม่ที่ไม่คุ้นเคย ห้องเรียนของเด็กมัธยม มันข่างเป็นอะไรที่ตื่นเต้นซะจริงๆ
ต้วผมเองในตอนนั้น ก็ค่อนข้างที่จะดูเรียบร้อยในสายตาคนอื่นๆ แต่สำหรับตัวผมเองไม่ได้คิดว่าที่จริงนั้นตัวเองไม่ได้เรียบร้อยสักเท่าไหร่นัก จะเรียบร้อยก็แล้วแต่สถานการณ์มากกว่า อันที่จริงก็คงเหมือนเด็กผู้ชายคนอื่นๆทั่วไป

"สวัสดีค่ะ ยินดีกับนักเรียนชั้น ม.1/5ทุกคนด้วยนะคะที่สามารถสอบเข้ามาเรียนที่นี่ได้
และครูหวังว่าทุกคนคงจะได้รู้จักกันกับเพื่อนๆใหม่กันบ้างแล้ว"

อาจารย์สาวใหญ่วัยกลางคนที่ใส่แว่นกำลังยืนพูดอยู่ที่หน้าห้องเรียนภาษาอังกฤษ หน้าตาของเธอดูใจดีไม่ไม่รู้ว่าจะดีจริงเหมือนที่ชั้นรู้สึกรึเปล่า ขณะนั้นเธอก็เริ่มเปิดแฟ้มและนำเอกสารที่พิมพ์ด้วยกระดาษโรเนียวออกมาอ่าน

"เดี๋ยวครูจะขอเช็คชื่อ ดูหน้าตากันหน่อยนะคะว่า ชื่ออะไร หน้าตายังไงกันบ้าง" ว่าแล้วเธอก็เริ่มขานชื่อไปเรื่อยๆ ผมก็ได้แต่มองตามไปเรื่อยๆจนกระทั่ง
"เลขที่ 25 นาย..." อาจารย์เงยหน้า ละสายตาจากแผ่นกระดาษขึ้นมามอง
"มาครับ" หนุ่มวัยรุ่นหน้าตาสะอาดสะอ้าน เขายกมือขานรับเธออย่างฉาดฉาน ในขณะนั้นสายตาก็ผมก็มองไปที่เขาเหมือนคนอื่นๆ เพราะเขาก็นั่งโต๊ะข้างๆ ใกล้ๆกัน

ใช่แล้วครับ คุณไม่ได้เข้าใจผิดหรอก เพียงแต่ผมไม่ได้บอกตั้งแต่แรกเท่านั้นเอง โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนชายประจำจังหวัด ที่จะมีเฉพาะนักเรียนชายในชั้นมัธยมต้น แต่ในชั้นม.ปลายก็จะมีนักเรียนหญิงบ้างเล็กน้อย

"นามสกุลนี้ เธอเป็นอะไรกับคุณ... เจ้าของโรงเรียนเอกชน...จ๊ะ" ครูเริ่มสนใจเขาจากนามสกุล
"เป็นหลานครับ" เขาตอบอย่างชัดเจนอีกครั้ง
"อ๋อเหรอ..."ครูพยักหน้าค่อยๆแล้วก้มลงอ่านเลขที่ต่อไปเรื่อยๆจนมาถึง
"เลขที่ 29 นาย..."
"มาครับ" ผมยกมือขานรับเธอ เธอเงยหน้าขึ้นมามองผมและยิ้มพร้อมกับเพื่อนๆอีก 50 ชีวิต ที่กำลังมองด้วยใบหน้านิ่งๆอีกเช่นกัน
"คุณป้าเธอฝากครูมาดูแลด้วยนะ" เธอคุยกับผมอย่างเป็นพิเศษ คาดว่าเธอจะรู้เรื่องราวของผมมาก่อนหน้าแล้ว
"ครับ" ผมตอบพร้อมกับอาการอายๆ เพราะไม่ค่อยอยากให้ใครมองเป็นอภิสิทธิ์ชน ที่มีคุณป้าเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนแห่งนี้เหมือนกัน

เธอขานชื่อนักเรียนไปเรื่อยๆจนครบทั้ง 50 กว่าคนและพูดคุย แนะนำเรื่องราวต่างๆภายในโรงเรียนจนกระทั่งหมดชั่วโมง
และปล่อยพวกเราเก็บของไปเรียนในวิชาอื่นๆ
ระหว่างทางพวกเราก็เริ่มแบ่งกันเป็นกลุ่มๆ แบ่งตามโหงวเฮ้งที่คาดว่าพอที่น่าจะคุยกันรู้เรื่องก็จะมานั่งใกล้ๆกัน ทุกคนต่างก็แนะนำตัวเองและบอกว่ามาจากที่ไหนกันบ้าง ผมตั้งใจฟังเป็นอย่างดีเพราะกลัวจะจำชื่อเพื่อนไม่ได้จนใกล้จะครบคนสุดท้าย

"สวัสดี เราชื่อนัท มาจากโรงเรียน..."
ระหว่างที่เขาแนะนำตัวเองนั้น ผมก็ได้สังเกตว่าเขาเป็นคนที่หน้าตาดีในระดับหนึ่ง บุคลิกดูคล่องแคล่ว หน้าตาสะอาดสะอ้าน ตัวสูงประมาณ 170 กว่าได้สัดส่วนพอดี รอยยิ้มของเขาคล้ายๆกับ เจ เจตริน นักร้องขวัญใจของใครหลายๆคน นี่เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นที่ผมเห็นในเด็กผู้ชายคนนี้ แต่ความรู้สึกผมในตอนนั้นก็คิดว่าน่าจะเป็นคนที่คุยกันได้ไม่เรื่องมากและเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้

วันเวลาทำให้ผมได้รู้ว่านัทเป็นคนที่อัธยาศัยดี เลยมีเพื่อนเยอะแยะมากมาย ผมเพิ่งจะรู้ว่าเขายังเป็นนักฟุตบอลอีกด้วย เพื่อนคนอื่นๆก็มาเล่าให้ผมฟังว่า นัทเป็นคนที่ฮอตมาตั้งแต่โรงเรียนเดิมแล้ว มีสาวๆมาชอบมากมาย
ผมก็ได้แต่นั่งฟังและคิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก
ก็คาแร็กเตอร์อย่างกับพระเอกการ์ตูนญี่ปุ่นขนาดนั้น

เวลาชีวิตของนักเรียนมัธยมเริ่มต้นขึ้น ในห้องเรียนวิชาต่างๆก็จะมีการแบ่งกลุ่มเพื่อทำรายงาน เนื่องจากพวกเราเป็นเด็กใหม่ในโรงเรียนนี้ การแบ่งกลุ่มทำงานก็นับว่าจะเป็นปัญหาอีกอันหนึ่ง เพราะไม่รู้ว่าจะเลือกอยู่กับเพื่อนคนไหนดี อาจารย์แต่ละท่านเลยตัดสินใจที่จะแบ่งกลุ่มให้เลยตามเลขที่ และด้วยความบังเอิญหรืออะไรก็ตามแต่ บ่อยครั้งที่ผมและนัทมักจะได้อยู่กลุ่มเดียวกันเสมอ แต่ผมก็ยังไม่ได้สนิทอะไรกับนัทมาก เพราะวิถีชีวิตของเราสองคนค่อนข้างที่จะต่างกัน


ด้วยความที่นัทเป็นคนที่ไม่ค่อยถือสาอะไรนี้เอง แกล้งอะไรหรือล้ออะไรนัทก็ไม่เคยโกรธ นัทจึงเป็นที่รักของเพื่อนๆหลายคน บ่อยครั้งที่ทำให้เขาถูกเพื่อนคนอื่นๆ
ล้อจับคู่ให้กับเพื่อนสาวในห้องเดียวกันอยู่เสมอ ส่วนตัวผมเองก็ได้แต่คอยผสมโรงกับคนอื่นๆไปด้วยเพราะไม่ได้คิดอะไร

"แหม...ได้ข่าวว่าเดินกลับบ้านกับบอล 2 คนเหรอ นั่นแน๊ !!! "
ผมแกล้งแซวชายเหมือนที่คนอื่นๆแซวกัน เขาก็ได้แต่ยิ้มๆไม่พูดอะไร แต่คนที่หันมาตอบโต้กลับเป็น เพื่อนสาวที่เราชอบเรียกว่าอีบอล
"จะบ้าเหรอ เดี๋ยวเหอะ จะโดนตบ" บอลเพื่อนสาวตัวโต หน้าขาววอกด้วยแป้งมิสทีน ราคา 69 บาท เริ่มโต้กลับด้วยถ้อยคำที่ออกมาจากการจีบปากจีบคอ
เหมือนเธอเป็นสาวน้อยร่างยักษ์ใสซื่อที่โดนใส่ร้าย

พวกเราเป็นอันรู้กันดีว่าแกล้งนัทเล่นๆ ต่างคนต่างไม่ได้คิดอะไร
เราใช้ชีวิตของนักเรียนม.ต้นเป็นอย่างงี้ไปเรื่อยๆได้ไม่นานเท่าไหร่
เวลาที่เพิ่งจะเหมือนเปิดเทอมเมื่อวานนี้เองก็หมดไป
วันสุดท้ายของการสอบเทอมแรกก็มาถึง โรงเรียนจะต้องปิดเทอม ที่พวกเรามักจะเรียกกันติดปากว่าปิดเทอมเล็กในเดือนตุลาคม ที่เรียกกันอย่างงี้
ก็้เพราะมันปิดเรียนเพียงแค่ 20 กว่าวันเท่านั้นเอง ถึงอย่างไรก็ตามมันก็ยังทำให้เด็กมัธยมสุดขี้เกียจได้มีเวลาพักผ่อนบ้าง

ผมนั่งรถผ่านหน้าโรงเรียนที่ปกติเวลานี้จะต้องพบเห็นนักเรียนเดินกันขวักไขว่ แต่ในวันสุดท้ายของการสอบแบบนี้มันก็มีแค่บางชั้นเท่านั้นที่ยังคงสอบอยู่ จึงไม่แปลกที่จะเห็นคนเดินอยู่หน้าโรงเรียนเพียงน้อยนิด
ผมมองจนสุดสายตาและหันหน้ากลับมาหน้ารถ
ในใจผมตอนนั้นก็ได้แต่คิดถึงเรื่องว่าจะทำอะไรดีในวันหยุด เพื่อนคนอื่นๆก็คงกำลังวางแผนทำกิจกรรมเหมือนกับผม
นั่นก็รวมถึง"นัท"เพื่อนผมคนนั้นอีกคน
Based on true story...

Monday, October 23, 2006

« iPod และ อังลี «



. . .

23 ตุลาคม

วันนี้ในปี ค.ศ. 2001 นับเป็นวันที่ประวัติศาสตร์การฟังเพลงของมนุษยชาติถูกเปลี่ยนแปลง ด้วยเครื่องเล่นเอ็มพีสามที่มีชื่อว่า iPod จากการค้นคิดพัฒนาโดยบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ นำโดยกัปตันทีมที่ชื่อ สตีฟ จ็อบส์ และผู้ออกแบบคู่ใจโจนาธาน อีฟ
คุณสมบัติของเครื่องเล่นเอ็มพีสามชนิดนี้ ที่สตีฟ จ็อบส์ แนะนำให้ทุกคนรู้จักในวันนี้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว
คือ เครื่องฟังเพลงขนาดพกพาที่สามารถจุเพลงได้เป็นพันเพลงในเครื่องเดียว สิ่งที่ออกจากปากของสตีฟ จ็อบส์ในวันนั้น ก็คือ การชักธงท้ารบกับโซนี่วอล์คแมนแบรนด์ที่ยึดครองตลาดการฟังเพลงแบบพกพกมาตั้งแต่ปี 1981 หรือ 20 ปีมาแล้ว
แต่เหมือนกับสตีฟ จ็อปส์จะได้แต้มต่อโซนี่ตรงที่
ช่วงเวลาที่เขาทำคลอดไอพ็อดให้ลืมตาดูโลกนั้นเป็นช่วงเวลาที่คนทั่วโลกเริ่มตื่นตัวกับกระแสการดาวน์โหลดไฟล์เพลงเอ็มพีสามผ่านอินเตอร์เน็ตพอดิบพอดี
iPod ใช้เวลาแนะนำตัวอยู่ไม่กี่เดือน มันก็กลายเป็นนวัตกรรมที่ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขว้าง ว่าเจ้าสิ่งนี้จะทำให้โลกเข้าสู่ยุคที่ซีดีไม่ได้มีความสำคัญ ไม่ได้เป็นสื่อหลักในการฟังเพลง
ด้วยสร้างแรงสั่นสะเทือนหลายริกเตอร์ ด้วยความจุ
จุถึง 10 กิกะไบต์เสมือนเป็นฮาร์ดดิสก์เคลื่อนสามารถจุเพลงได้มากกว่า 3,000 เพลง
iPod ออกวางจำหน่ายชนิดไม่เกรงใจหน้าตาคู่แข่ง
ด้วยรูปลักษณ์ที่มีรสนิยมตามสไตล์
ไม่กี่เดือนต่อมา สตีฟ จ็อบส์ ตอกย้ำผู้คนที่ดูแคลนเขาอีกครั้งว่า ใครกัน จะพกพาเพลงเป็นพันๆ เพลงบนถนน
เขาจึงแก้เกมส์ด้วยการทำให้สินค้าชนิดนี้แมสที่สุดเท่าที่เทคโนโลยีจะทำได้ นั่นก็คือ ทำให้มันสามารถรันบนระบบปฏิบัติการณ์วินโดร์วคอมพิวเตอร์พีซีได้
ตามติดมาด้วยการเปิดตัวโปรแกรม iTunes โปรแกรมเพื่อการดาวน์โหลดซื้อหาไฟล์เพลงทางอินเตอร์เน็ตแบบถูกกฎหมาย
ที่ราคาเพลงละ 99 เซ็นต์
ในเวลาเพียงแค่ 2 ไตรมาสแรกของปี 2002 ที่ iPod วางจำหน่ายในอเมริกามันก็ดึงให้สถานการณ์ทางการเงินของแอปเปิลพลิกฟื้นคืนสภาพ เสริมให้อาณาจักรแอปเปิลแข็งแกร่งขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

รายงานล่่าสุดต้นเดืิอนตุลาคม 2006 บอกกับชาวโลกว่าขณะนี้
iPod ทำยอดได้ทะลุ 60 ล้านคนเรียบร้อยแล้วโรงเรียนแอปเปิ้ลแล้ว

. . .



มากันที่วันนี้ในปี ค.ศ. 1954 วันนี้ คือ วันเกิดของผู้กำกับชาวไต้หวั่นคนแรกที่ได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเวทีประกาศผลรางวัลอะเคเดมี่อวอร์ด หรือ ออสการ์ปี 2006 จากภาพยนตร์เรื่อง Brokeback Mountain เขาคนนั้นก็คือ อังลี หรือชื่อภาษาจีนว่า หลี่อัน
อังลี ชายผู้มีความฝันในวัยเด็กว่าอยากเป็นจิตรกรและเภสัชกร เพื่อใช้สองสิ่งนี้เยียวยาผู้คนทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
แต่เมื่อโตขึ้นหลีอัน ก็ยังไม่ทิ้งความฝันเดิม แต่เขาเลือกที่จะเป็นผู้กำกับภาพยนตร์แทน เส้นทางไดเร็คเตอร์ของเขาเริ่มจากมหาวิทยาลัยในไต้หวั่น จากนั้นอังลีก็ลัดฟ้าไปเรียนต่อด้านภาพยนตร์ที่นิวยอร์กยูนิเวอร์ซิตี้ ตอนเรียนอังลี มีเพื่อนร่วมรุ่นชื่อ สไป ลี
สอง “ลี” ที่สิบปีให้หลังได้กลายเป็นผู้กำกับที่ทรงอิทธิพลอของโลก ลี แรก สไป ลี มุ่งเข็มไปทำหนังอาร์ท มิวสิควิดีโอ ตลอดจนหนังโฆษณาที่ได้รับบึ๊กเนมในเวลาไม่นาน
ส่วน ลี สอง อังลี เริ่มต้นกำกับหนังเล็กๆ ไปๆ มาๆ อยู่ 2 ประเทศระหว่างไต้หวั่นกับอเมริกา
สำหรับที่ไต้หวั่นแล้ว ภาพยนตร์ที่สร้างชื่อให้เขาก็คือ
Eat Drink Man Woman หนังว่าด้วยอาหารและผู้หญิง คนที่เคยดูหนังเรื่องนี้บอกว่่าได้คำเดียวว่าไม่มีวันลืม ด้วยเหตุผลอะไรก็ต้องไปถามเขาเอง ส่วนที่ฮอลลีวู้ดภาพยนตร์ที่สร้างชื่อเสียงขวักมือให้สืื่อเมืองลุงแซมจับตาผู้กำกับหน้าใหม่จากไต้หวั่นคนนี้ก็คือ หนังเกย์อินดี้เรื่อง The Wedding Banquet
หลังจากนั้นอังลีก็ทำหนังดีๆ ออกมาหลายเรื่องซึ่งได้กล่องมากกว่าเงิน
แต่ถ้าถามว่าหนังเรื่องไหน คือ หนังที่สร้างจุดเปลี่ยนในสายอาชีพของ อังลี คำตอบที่พอเอาไปเมาท์กับเขาได้สนุกปาก ก็คือ Crouching Tiger, Hidden Dragon ที่อังลี ได้ทำให้หนังกำลังภายในมาบรรจบกับโปรดักชั่นแบบฮอลลีวู้ด
ภาพชายยืนบนกิ่งหลิวหรือวิชาตัวเบาที่เดินบนผิวน้ำกลายเป็นของแปลกตา ผู้ชมในโลกตะวันตก พร้อมกับวลีกระบี่ที่คมที่สุดอยู่ที่ใจ ที่ออกจากปากจอมยุทธ
ที่มีนามว่า โจวเหวินฟะ
ชีวิตในวัย 50 ปีของอังลี ในฐานะผู้กำกับดูเหมือนว่าเขายังฝังใจกับหนังเกย์ที่สร้างเมื่อสองทศวรรษก่อน เขาจึงกลับมาสานต่อเรื่องรักที่เป็นไปไม่ได้ของคาวบอยหนุ่มสองคน ในชื่อ โปรเจกต์
Brokeback Mountain หนังที่สวยงามไปด้วยทัศนียภาพของภูเขา ลำน้ำ และโศกนาฏกรรมความรักของแจ็คและแอนนิส
ทั้งหมดนั้นก็เพียงพอที่จะพาเขาไปถึงเวทีออสการ์ ในฐานะผู้กำกับยอดเยี่ยมคนล่าสุดของวงการที่เป็นชาวเอเชีย

word by buiberry

Sleepless Coffee

เป็นเพราะกาแฟแก้วนั้นหรือเพราะคิดถึงคุณกันนะ…ที่ทำให้ผมนอนไม่หลับ

ตีสองแล้ว แต่ผมยังตาสว่างอยู่ เพื่อนในลิสต์ MSN แยกย้ายสลายตัวกันไปนอนจนเหลืออยู่ไม่กี่คน และในจำนวนไม่กี่คนนั้นก็เป็นคนที่ผมไม่ค่อยได้คุยซะด้วยสิ ถึงแม้ว่าในโลกออนไลน์จะเปิดโอกาสให้เราสามารถ Delete Contact ได้ง่ายๆ แต่เอาเข้าจริงการจะลบใครออกจาก MSN ก็เป็นเรื่องยากและโหดร้ายสำหรับผม พอๆกับความสัมพันธ์ในโลกออฟไลน์นั่นแหละ

ผมมักเป็นแบบนี้เสมอ แม้ว่าที่คนที่ผมรักจะออฟไลน์ไปแล้ว แต่หน้าต่างบทสนทนาของเราจะยังคงเปิดค้างไว้อย่างเดิม ให้ผมได้อ่านถ้อยคำที่เราเพิ่งคุยกันซ้ำไปซ้ำมาจนขึ้นใจ พลางดูรูปของคุณจนติดตา เขาบอกว่าการที่เราฝันเป็นเพราะเราคิดถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งซ้ำๆ ผมทำแบบนี้ก็เผื่อว่าคืนนี้ผมจะได้ฝันถึงคุณ

แต่จนถึงตอนนี้ผมก็ยังนอนไม่หลับสักที มันจะเหลือเวลาอีกสักเท่าไรกันนะให้ผมฝันถึงคุณ

คุณเคยบอกผมว่า การนอนที่สบายไม่ควรหลับแล้วฝัน คุณถึงไม่ยอมให้ผมลาคุณด้วยคำว่า “หลับฝันดีนะ” แต่ “หลับให้สบาย” ก็ฟังดูเหมือนบอกลาคนตายไปหน่อย และ “หวัดดี” ก็ห้วนและง่ายเกินไปหน่อย ขำตัวเองทุกทีเวลาต้องลาคุณ ไม่รู้จะลาด้วยคำไหนดี

ไม่ใช่เพราะเลือกคำไม่ถูกหรอก แต่เป็นเพราะแอบเสียดาย ไม่อยากให้คุณไปมากกว่า

ผมพยายามหาเพลงมาฟังเผื่อจะกล่อมตัวเองให้ง่วงขึ้นมาบ้าง แต่ดันไปฟังเพลงที่ทำให้คิดถึงคุณมากกว่าเดิม

“ยังคิดถึงวันที่ผ่าน วันที่มีแต่เรา แต่วันนี้มันว่างเปล่า เหงาจับใจ คิดถึงเธอรู้ไหม...คิดถึงเธอทุกทีที่อยู่คนเดียว

ถ้า “คิดถึงเธอทุกทีที่อยู่คนเดียว” คุณคงรู้นะว่าผมคิดถึงคุณมากแค่ไหน เพราะบังเอิญผมอยู่คนเดียวบ่อยๆซะด้วยสิ

ปกติผมไม่ชอบดื่มกาแฟเท่าไร ถึงกลิ่นจะหอมน่าดม แต่รสขมของมันทำเอาผมไม่อยากกลืน แต่การคิดถึงใครบางคนที่ไม่รักกัน รสของมันขมขื่น แต่ผมกลับกลืนมันลงไปได้อย่างรื่นรมย์ รสขมของกาแฟอาจเจือจางด้วยนมและน้ำตาลสักก้อนสองก้อน แต่รสขมของความรักอาจต้องล้างด้วยน้ำตาแทน

รสขมของกาแฟจางหายไปจากลิ้นของผมนานแล้ว แต่รสหวานของความรักครั้งนั้นยังอยู่ ไม่เคยจางหายไปจากใจของผมเลย

แม้มันจะแทรกด้วยความขมขื่นก็ตาม

Sleepless Toffy

Sunday, October 22, 2006

“บ้านริมทะเล"



. . .

“บ้านริมทะเล"

*ตัวละครและเรื่องราวต่อไปนี้ คือ เรื่องที่เกิดขึ้นจากจินตนาการและความเพ้อฝันของผมเองหลังจากได้ชมภาพยนตร์รักกับผู้หญิงคนหนึ่งและได้ฟังบางคำพูดจากเธอในวันนั้น

เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ตอนที่ภาพยนตร์ il mare เข้าฉายในบ้านเรา เวลานั้นผมเพิ่งเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งที่่ ม.รังสิต ผมเร่งวันเร่งคืนให้หนังเรื่องนี้ เข้าโรงไวๆ เพราะผมมีนัดกับผู้หญิงคนหนึ่งเพื่อไปดูหนังเรื่องนี้ด้วยกัน เธอชื่อว่า “กุ๊กไก่” เป็นรุ่นพี่ที่คณะนิเทศฯเย็นวันนั้นผมตื่นเต้นมากที่จะได้ดูหนังเรื่องนี้ที่เมเจอร์รัชโยธินกับเธอสองคน

il mare จึงเป็นหนังรักเรื่องแรกที่ได้ดูกับผู้หญิงคนที่แอบหวังใจ

แม้ว่ากุ๊กไก่จะเป็นรุ่นพี่ผม เธออยู่ปี 4 อายุเราห่างกัน 3 ปี แต่เธอก็ทำให้ผมเป็นเอามาก อย่างเช่น วันหนึ่งเราไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติกัน แล้ววันนั้นฝนตกหนัก รถติดอยู่บนถนนที่ไหนสักที่ในกรุงเทพฯ

ระหว่างที่เราอยู่ในรถนั้น

ผมถามเธอว่า “พี่กุ๊กไก่ชอบฤดูไหนที่สุดเหรอ ?”
ผมยังจำภาพนั้นได้ดี เธอเอาคางไปเท้าพวงมาลัยแล้วมองไปยังที่ปัดน้ำฝนซึ่งแกว่งไกวไปมาแล้วตอบผมว่า
“เราชอบฤดูฝนแหล่ะ...บุ๊ย มันหมายถึงการเริ่มต้นใหม่”

เพียงแค่ประโยคสั้นๆ เท่านี้เองที่ทำให้ผมตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้อย่างจัง
เวลาช่วงสั้นๆ ต่อมา ก่อนที่กุ๊กไก่จะเรียนจบแล้วไปเรียนต่อที่นิวซีแลนด์ เราทั้งคู่ได้รับอิทธิพลจากหนังเรื่อง il mare จึงลงมือเขียนจดหมายและโปสการ์ดติดต่อกันอย่างสนุก ทั้งที่ทุกวันเราก็ต้องผ่านที่พักของแต่ละคนที่มองเห็นกันอยู่
แต่อารมณ์ของการเขียนและรอคอยจดหมายจากคนที่เราคิดถึงมันวิเศษมากๆ ผมตื่นเต้นทุกครั้งที่เห็นซองจดหมายและลายมือเธอ ผมประณีตแกะมันอย่างช้าๆ ทุกครั้งที่ได้รับจดหมาย

ตัวละครของเราสองคน ดำเนินความรักในหน้าจดหมาย
อย่างโรแมนติก แต่ทว่าโลกของความจริงไม่มีใครรู้ว่าเราคบกัน ผมและเธอได้แต่เขียนจดหมายไปมาถึงกันทุกวันคล้ายไดอารี่ เป็นอยู่อย่างนั้นอยู่ 1 เทมอ จนเธอเรียนจบ ความรู้สึกนั้นมันช่างอบอุ่นแสนจะผูกพันที่ความสัมพันธ์ของคนสองคนค่อยๆ ถักทอบนหน้ากระดาษ

ผมเอาเรื่องอะไรไม่รู้ตั้งมากตั้งมายเขียนถึงกุ๊กไก่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และกุ๊กไก่เองก็เปิดตัวเองให้ผมรู้จักเธอในจดหมาย ในพื้นที่สี่เหลี่ยมนั้นเราคุยกันเหมือนคนที่รู้จักกันมานาน

แต่แล้ววันหนึ่ง,
ด้วยเหตุผลที่เธอต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ วันหนึ่งเธอก็หายไปจากชีวิตผมครับ จดหมายที่เคยมีสม่ำเสมอก็เลือนหายไปในที่สุด จากฉบับสุดท้ายที่ได้รับก็ไม่มีฉบับใหม่มาอีก

เพลง Must Say Good Bye ที่เป็นซาวนด์แทร็คหนังเรื่องอิลมาเร่ ก็ได้กลายเป็นเพลงประกอบชีวิตผม

ผมพยายามสอบถามรุ่นพี่หลายคนเพื่อเสาะหาที่อยู่ของเธอที่นิวซีแลนด์
ถึงขั้นว่าเสิร์จหาในกูเกิลว่าโรงเรียนที่เธอไปเรียนภาษา ที่อยู่คือโรงเรียนอะไร
เพราะรุ่นพี่ บอกว่าเธอเรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้ เมืองนี้ แต่ก็ไม่ชัวร์ว่าใช่รึเปล่า

และแม้ไม่รู้ว่าจดหมายจะถึงมือผู้รับไหม แต่ผมก็ลงมือเขียนความห่วงใยลงไปในกระดาษเหมือนเดิม ด้วยความหวังว่ามันจะถึงมือเธอในสักวัน ตลอดเวลาตอนนั้นผมได้แต่คิดถึงกุ๊กไก่ ผมไม่เคยลืมวันเกิดของเธอ ไม่เคยลืมว่าเธอชอบอะไร ผมรู้ว่าเธอชอบกินบ๊วยเค็มที่เมืองนอกคงไม่มีขาย ผมจึงแพ็คบ๊วยเค็มส่งไปให้ในวันเกิด ที่โรงเรียนนั้นคงงงๆ ว่าทำไมมีของอะไรไม่รู้จากเมืองไทยส่งมาที่นี่

ตอนนั้นผมไม่มีใคร ไม่ได้สนใจใคร ใช้ชีวิตไปวันๆ กลับห้องก็ฟังเพลงเดิมๆ

จนวันหนึ่ง, เวลาผ่านไปเกือบปีผมก็ได้รับ Postcard จากกุ๊กไก่ ผมดีใจมากชนิิดที่บอกไม่ถูกว่ามันดีใจแค่ไหน
นั่นแสดงว่าความพยายามของเราป็นผลแล้ว จดหมายที่ผมเขียนจนแล้วจนแล้วมันถูกส่งไปถูกโรงเรียนจริงๆ

กุ๊กไก่เขียนมาว่าขอโทษและยังห่วงใยผมเสมอ เธอยังจดจำทุกๆ อย่าง เรื่องของเรา วันที่ได้รู้จักกัน เวลาที่คนสองคนรู้จักกัน ผมอ่านไปน้ำตาไหลไป ที่สำคัญเธอเอาจดหมายที่ผมเขียนถึงเธอหลายสิบฉบับไปที่โน่นด้วย เธอเอาไว้อ่านเวลาเหงาๆ คิดถึงเมืองไทย

กุ๊กไก่บอกว่าที่เธอต้องตอบจดหมายผม เพราะว่าทนใจแข็งไม่ได้ เมื่ออ่านเรื่องที่ผมบอกเธอว่าผมยังฟังเพลงเดิมๆ ทุกวัน อ่านจดหมายเดิมๆ ของเรา

ผมเก็บโปสการ์ดใบนั้นไว้กับตัว เปิดอ่านตลอดเวลาที่มีโอกาสจนมันยับยู้ยี่ แล้วก็คิดกับตัวเองว่าจะตอบกลับไปยังไงดี

และแล้วผมก็ต้องตัดใจ เพราะคิดว่าเธอนั้นได้อยู่ ได้ทำ
ในสิ่งที่เธอฝันแล้ว เรื่องของผมและอดีตของเราจะรบกวนสภาวะของเธอเปล่าๆ

ผมจึงแกล้งตอบเธอกลับไปว่า ผมมีความสุขดีและรู้ว่าเรื่องของเราคงเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะว่าถ้าอีกฝ่ายเป็นทุกข์เพราะเห็นเราทุกข์ เราน่าจะลืมๆ กันไปซะ !

เวลานั้น ผมเศร้าโคตร ที่ต้องตอบเธอไปอย่างนั้น เพราะจริงๆ ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นสักหน่อย ผมปรึกษาเพื่อนที่เคยไปเมืองนอกอยู่ทุกวัน ว่าต้องทำยังไงบ้าง ถึงไปเมืองนอกได้ ต้องมีเงินเท่าไหร่ เคยคิดจะเก็บเงินให้มากพอแล้วบินไปหาเธอที่โน่นด้วยซ้ำ
แต่อีกด้านหนึ่งก็ได้แต่ถอนหายใจว่าชีวิตนี้เราคงไม่ได้เจอกันอีก



. . .

บ่อยครั้งเหลือเกินที่ชีวิตคนเราเป็นดังนิยายหรือหนังบางเเรื่องที่เราเคยอ่านเคยดูแม้เราก็ไม่ได้เลือกหรือไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นแต่มันก็เป็น

จากหนึ่งปีก็เป็นสองปีจากสองปีก็เป็นสามปี แจ็คเพื่อนผมคอยปลอบใจและบอกว่า “กุ๊กไก่เองเค้าก็มีทางเดินที่เค้าเลือก มึงเองก็มีทางเดินของมึง ป่านนี้เค้าก็คงมีใครไปแล้ว”

ในที่สุดโลกก็ไม่ได้โหดร้ายนักตอนผมเรียนอยู่ปี 4 กำลังใกล้จะเรียนจบแล้ว ผมก็ได้เจอกับกุ๊กไก่อีกครั้ง เธอกลับมากรุงเทพฯ เพื่อสมัครเป็นแอร์โฮสเตท สายการบินแห่งหนึ่ง


เรานัดเจอกัน ผมไปเจอเธอวันนั้นด้วยใจสั่นๆ ความรู้สึกแปลกๆ มันบอกไม่ถูก เหมือนมันชาๆ ไปทั้งตัว มือเย็นๆ

ผมได้เห็นเธอที่งดงามขึ้น ส่วนเธอก็ได้เห็นผมว่าโตขึ้นกว่าแต่ก่อน ตั้งปี 3 ปีแน่ะที่เราไม่ได้เจอกัน

แต่น่าแปลกที่เหตุการณ์ในวันนั้นผมกลับจดจำมันไม่ค่อยได้ ไม่เหมือนกับตอนที่เราใกล้ชิดกันสมัยผมอยู่ปี 1 ซึ่งไกลห่างกว่าปัจจุบันมากกว่าแต่ผมกลับจำทุกอย่างได้ดีทุกฉากทุกตอน

เวลานั้น ผมก็คิดว่าน่าจะเริ่มต้นใหม่กับเธอหรือว่ารักษาสัมธภาพระหว่างเราไว้แค่คนที่เคยเขียนจดหมายหากัน เป็นความทรงจำที่ดีๆ

ยังไม่ทันที่ผมจะสรุปอะไร แต่เธอก็หนีผมไปอีกครั้งด้วยการสอบเป็นแอร์โฮสเตท สายการบินหนึ่งได้สำเร็จ

หลายวันก่อนตอน 2 ทุ่ม ผมก็รำลึกความหลัง ด้วยการกลับไปที่เมเจอร์รัชโยธินดูหนังเรื่อง The Lake House อีกครั้ง ไม่รู้สิครับ ผมก็คงเหมือนคนอื่นๆ ที่มีวิธีเดินทางกลับไปหาสิ่งดีๆ ในอดีตด้วยการกลับไปที่เก่าๆ ในเวลาที่ความสุขครั้งเก่าๆ เคยเกิดขึ้น

หลังจากออกจากโรง ภาพเก่าๆ ผ่านเข้ามาในหัวผมระหว่างที่นั่งรถกลับบ้าน ผมคิดถึงวันเก่าๆ จับใจ คิดถึงตอนที่ผมได้เจอกับกุ๊กไก่ที่ใต้ตึกคณะ คิดถึงตอนที่นั่งเขียนจดหมายถึงเธอ คิดถึงวันอันเฉอะแฉะที่เราไปงานสัปดาห์หนังสือด้วยกัน
คิดถึงตอนรับน้องปีหนึ่ง คืนที่เรานอนดูดาวที่ทะเลจนสว่าง
หรือการรอคอยที่ไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ตอนเธอไปเรียนต่อเมืองนอก จนถึงตอนที่ได้เจอเธออีกครั้ง ทั้งหมดมันได้ทำให้ผมเข้าใจเรื่องของความรักอีกรูปแบบหนึ่ง

นั่นคือ “การจากลา” ก็ไม่ได้หมายความว่า “เจ็บปวด” ถ้่าเรามีเรื่องดี ๆ ของคนๆนั้นมากพอให้คิดถึง กับสิ่งที่ีดีๆ ที่เคยทำความทรงจำที่ผ่านมา ผมคิดว่าบางครั้ง 'ความรัก' ของคนเรา เราน่าจะปล่อยให้มันได้อยู่กับอดีตที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว เพราะแน่นอนว่ามันคงดีกว่าการที่เราต้องมาเสี่ยงสานต่อกับปัจจุบันและอนาคตที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

ถึงตอนนี้ผมคิดไม่ออกจริงๆ ถ้าตอนนั้นผมเก็บเงินบินไปหาเธอที่โน่นจริงๆ ผมจะเจอไหม หรือถ้าผมกับเธอได้เริ่มต้นใหม่ครั้งที่เจอกันเมื่อ 2 ปีก่อน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าป่านนี้ชีวิตของเราสองคนจะเป็นอย่างไร

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ในวันนี้ มันทำให้ผมพบว่า เวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา อะไรรอบๆ ตัวเราก็เปลี่ยนไป ความคิดเราก็เปลี่ยน หนังเรื่องเดิม พล็อตเดิมก็ยังเปลี่ยนนักแสดง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรบ้านริมทะเลที่ผมกับเธอเคยมองเห็นร่วมกันหลังนั้นก็ยังคงสวยงามดังเดิม



. . .

Sunday Morning

Hachi on the Blog
presents 03


จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคโดยสถาบัน International Food Information Council พบว่าคนส่วนใหญ่จะเลือกซื้ออาหารและเครื่องดื่มที่รสชาติและราคาก่อนเป็นอันดับแรก และลืมเรื่องคุณค่าทางโภชนาการไปเลยอย่างสิ้นเชิง แพ็กเก็จจิ้งอาหารมีส่วนสำคัญมากที่สุดอย่างไม่น่าเชื่อของการซื้ออาหารแต่ละครั้งของเรา

จุดหมายเหตุ Hachi 03
เมื่อเช้า (จริงๆ เรียกว่าตอน ‘สาย’ มากกว่า ‘เช้า’) ตื่นมาพบว่าอาหารในคลัง (ครัว) ว่างเปล่า
จึงเดินแบบไร้วิญญาณไปที่เซเว่นข้างล่าง และได้อาหารสำหรับหลายวันต่อจากนี้มาตุนไว้ แต่...มันน่าอนาจใจที่พอรู้ตัวอีกทีก็เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองกินแต่ของพวกนี้จริงๆ หรือนี่? ของที่เราซื้อมาทั้งหมดในเช้าวันอาทิตย์อยู่ในรูปต่อไปนี้






*ตอนนี้คุณๆ สามารถเปิดเพลิง Sunday Morning ของ No Doubt คลอไปด้วยได้
*เสร็จแล้วเอาดีวีดีเรื่อง The Death of Mr.Lazarescu มาเปิดดูก็จะยิ่งชวนให้เหนื่อยหน่ายกับชีวิต ดูแล้วคุณจะรู้ว่าการไปห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลนั้นไม่ได้ simple หรือรวดเร็วเหมือนที่ปกติในหนังมักตัดภาพให้เราดูกัน


สนามหญ้าข้างบ้านมักเขียวกว่าบ้านเราเสมอ


ศุกร์ที่ผ่านมา ผมไปร้านเดิมที่ผมไปทุกๆ วัน เป็นเวลากว่า ๖ ปีแล้ว ที่มาที่นี่เกือบทุกอาทิตย์(ไม่น่าเชื่อว่าสจะนานขนาดนั้น) จริงๆ อาจจะไม่ใช่ร้านเดิมในทางกายภาพ เพราะมันผ่านการย้านร้าน ปิดร้าน เปิดใหม่ และเจ๊งกันมาหลายรอบ แต่ทั้งหมดทั้วงมวลเกิดขึ้นกับคนๆ เดียวกัน นั่นคือเพื่อนของผม นั่นคือเหตุผลว่าทำไมต้องมาที่นี่ทุกศุกร์ ที่นี่เป็นแหล่งรวมคนปากพล่อยๆ สี่ห้าคน ที่มารวมหัวกัน คุยเรื่องการเมือง ปรัชญาชีวิต ทำไมการเมืองไทยห่วย รถไฟฟ้าราคราแสนแพง และเทคโนที่เปลี่ยนไปทำให้เราลำบาก...ข้อความทั้งหมดที่ได้อ่านเป็นของโต๊ะอื่น..ไม่ใช่โต๊ะผม
จริงๆ แล้วออกจะสงสารโต๊ะรอบข้างของเราที่ตกเป็นเหยื่อยบทสนทนาของเราบ่อยๆ การเป็นขาโจ๋ในร้านบางทีก็ทำให้คนกลัวเราไปโดยปริยายทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า เห็นคนหน้ัาใหม่ ในพื้นที่คุ้นเคย ก็แค่นั้น โฉะนั้นหากคุณเป็นต๊ะข้่างๆ หน้าใหม่ เข้าไปในร้านแปลกถิ่น ทำใจเหอะว่า ยังไงต้องมีคนพูดถึงบคุถณพอๆ กับอาหารจานแรกของร้านที่คุณต้องพูดอะไรเกี่ยวกับมันสักอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นคนที่น่ามองในสายตาของผู้ชายสักกลุ่มที่นั่งในร้าน จริงๆ อยากให้ฟรอยด์เกิดยุคนี้ ผจะชวนเขามานั่ง แล้วลองวิเคราะห์พฤติกรรมของพวกเราดูสิว่า มันเป็นยังไง เผื่อเขาอาจจะเจอข้อสรุปใหม่ๆ ที่น่าสนใจว่า นอกจากปมออดิปุส เรอาจจะมีปมคิวปิด ปมอาเทน่า หรือปมอะไรอีกหลายอย่างที่เราฟรอยด์ไม่ทันคิด
เอาเป็นว่า ผมเจอสิ่งอะไรสักอย่างที่เป๊ะ ในคืนวันศุกร์ แต่ตอนนี้คืนวันเสารื และผมก็ง่วงเกินกกว่าจะนึกอะไรออก (แต่ซีรี่ย์ jack and bobby ก็สนุกจนยังไสม่อยากนอน) พรุ่งนี้ผมจะมาเล่าอะไรให้ฟังต่อ ถึงสนามหญ้่าข้างบ้าน
ซึ่งของเธอเขียวกว่าของผมจริงๆ :-)

ปล. เรื่องของรูป
คลิม (Gustav Klimt) ศิลปินชาวออสเตรีย เป็นคนหนึ่งที่ผมว่าเขาวาดรูปผู้หญิงได้สวยที่สุด เขามีงานอีโรติคหลายชิ้น นอกเหนือจากงานเด่นๆ ที่เรารู้จักกันดีอย่าง the kiss ความงามของผู้หญิงที่เขาวาดส่งนหนึ่งมาจากมือ ผมพยายามวาดให้มันสวยอยู่หลายครั้ง แต่มันเป็นส่วนที่วาดยากมากของร่างกายส่วนหนึ่ง รองจากนิ้วเท้า... ซึ่งยากกว่าหลายเท่า

Saturday, October 21, 2006

Intellectuels

Hachi on the Blog
presents 02


"Intellectuals are like Mafias. They kill each other."
/ ไดอะล็อกจากภาพยนตร์เรื่อง Stardust Memory ของวู้ดดี้ อัลเลน

(จุด) หมายเหตุ Hachi:
1.นี่ๆ เท่าที่อ่านมา พวกคุณเขียนเรื่องจริงจัง กันทั้งนั้นเลยนะ อืมม์...
2.เราเพิ่งกลับจากงานมหกรรมหนังสือฯ สัมมนาในงานปีนี้ไม่มีอะไรน่าฟังเท่าไหร่เลยเนอะว่ามั้ย แล้วเรายังเดินสะดุดรถเข็นๆๆ ตั้งหลายรอบล่ะ
3. เฮ้ๆ คุณผู้เขียนหัวข้อ "ความผิดปกติในชีวิตประจำวัน (อันน่าเบื่อหน่าย)" เราเขียนคอมเมนต์ไป แต่มันโชว์ขึ้นมาว่าต้องให้คนเขียนตรวจก่อนว่าโชว์คอมเมนต์ได้หรือเปล่า เกิดอะไรผิดปกติกับ Settings หรือเปล่า หรือเราสามารถเช็ตอย่างนั้นได้?

Friday, October 20, 2006

เรื่องของเด็ก ปมของผู้ใหญ่

เรื่องของเด็ก ปมของผู้ใหญ่

1
ทำนายดักคอไว้, ผมไม่คิดว่า รัฐบาลจะเอาจริงเรื่องห้าม ‘มนุษย์’ ที่ใช้ชีวิตในโลกมาไม่ถึง 25 ปี ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ถ้าให้พูดตรงๆ พ่อของผมซึ่งเป็นทหารนั้น กินเหล้ามาตั้งแต่ยังเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร กินเรื่อยมาจนเข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อย จปร. โรงเรียนเสธ และกินมาตลอดจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต
เพื่อนของพ่อที่เป็นทหารก็กินเหล้า ไม่ได้กินกันธรรมดาๆ แต่กินชนิดที่เรียกได้ว่าถ้าเอาหัวจุ่มลงไปในเหล้าเพื่อให้แอลกอฮอล์ซึมซาบเข้าไปในกระแสเลือดได้ก็คงทำ มีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่กินเหล้า
ผมจึงรู้สึกสนุก ที่ได้เห็นรัฐบาลซึ่งมี ‘อดีตทหาร’ เป็นผู้นำ ตั้งใจจะออกกฎเกณฑ์ประหลาด ห้ามเด็กวัยต่ำกว่า 25 ปี ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ทั้งที่โลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะเรา ‘ไว้ใจ’ ให้เด็กไปเลือกตั้งได้ตั้งแต่อายุ 18 ปี บรรลุนิติภาวะ (แปลว่าเป็นผู้ใหญ่?) ตอนอายุ 20 ปี แถมยังจับเกณฑ์ทหารกันตอน 21 ปี
แต่ไม่ให้กินเหล้า?
ผมจึงสงสัย-มันเป็นโลกแบบไหนกัน
แล้วผมก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น เมื่อได้อ่านเรื่องของลียุงบัก

2
ลียุงบักเป็นนายกเทศมนตรีของกรุงโซล-เกาหลีใต้ เข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2002 เขาได้ชื่อว่าเป็น ‘นักรื้อ’
ฉายานี้ไม่ได้ได้มาเปล่าๆ แต่เขามีพื้นฐานทำงานในบริษัทเกี่ยวกับการก่อสร้างมาก่อน จึงได้ฉายาว่า The Bulldozer เมื่อเข้ามาเป็นนายกเทศมนตรี เขารักษาชื่อเสียงเรื่องการ ‘รื้อ’ เอาไว้ ด้วยการจัดการกรุงโซลเสียใหม่ในหลายพื้นที่
เริ่มต้นด้วยทางน้ำชื่อ Cheonggyecheon (ผมไม่แน่ใจว่าออกเสียงอย่างไร) ซึ่งเป็นทางน้ำเล็กๆที่ไหลผ่านกลางกรุงโซล ที่จริงแล้ว ทางน้ำสายนี้เคยถูกกลบฝังด้วยน้ำมือของเขาเองมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเป็นยุคซิกซ์ตี้ส์ เขาทำงานอยู่กับบริษัทก่อสร้าง และเป็นหนึ่งในคณะทำงานสร้างทางด่วนคร่อมทางน้ำนี้ เขาจัดการออกแบบแผ่นปูปิดทางน้ำ แล้วสร้างทางด่วนยกระดับอยู่ด้านบน มันเป็นทางด่วนที่ใช้ ‘ขนรถ’ ได้ถึงวันละ 168,000 คัน เข้าสู่ใจกลางเมือง มันคือการ ‘พัฒนา’ ขนานใหญ่ของกรุงโซล
แต่แล้วเมื่อเข้ามาเป็นนายกเทศมนตรี ลียุงบักก็เริ่มต้นทำสิ่งตรงกันข้าม
เขารื้อทางด่วนออก รื้อแผ่นปูปิดทางน้ำ เติมน้ำใส่ลงไปในลำธารอีกครั้ง พร้อมทั้งตกแต่งแลนด์สเคปของสองฝั่งน้ำยาว 5.8 กิโลเมตร ใช้เงินไป 360 ล้านเหรียญ เพื่อให้ทางน้ำนี้กลายเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมือง โดยเฉพาะเด็กๆ
เขาบอกว่าตอนนี้น้ำกำลังเย็นเจี๊ยบใสแจ๋ว ซึ่งแปลว่าเป็นน้ำที่ปราศจากมลพิษจากโรงงาน แต่เมื่ออากาศอุ่นขึ้นในหน้าร้อน เด็กๆก็จะได้มาเล่นในลำธารกลางเมือง แล้วเขาก็จะมีความสุข
โซลเคยเป็นเมืองแบบเดียวกับกรุงเทพฯ นั่นก็คือไม่มีสวนสาธารณะ หรือไม่ก็มีแต่ชื่อ แต่ลีไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว เขากำลังสร้าง ‘ป่า’ ที่เรียกว่า โซลฟอร์เรสต์ ขึ้น โดยใช้งบประมาณ 224 ล้านเหรียญ เป็นสวนที่ใหญ่โตเทียบเท่ากับไฮด์ปาร์คของลอนดอน ที่สำคัญก็คืออยู่กลางเมืองด้วย แต่ไม่ใช่แค่ปาร์ค ต่อไปนี้ถ้าทีมเกาหลีใต้เข้าชิงฟุตบอลโลก ทุกคนก็จะได้ไปเชียร์บอลกันที่โซลพลาซ่า ซึ่งเป็นลานหญ้าใจกลางเมืองขนาดใหญ่แห่งใหม่กันแล้ว แถมลียังเพิ่มพิพิธภัณฑ์ใหม่ๆอีกหลายแห่ง ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์เก็บของเก่ามาขาย แต่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีแนวคิดใหม่ๆ เช่นพิพิธภัณฑ์ศิลปะของบริษัทซัมซุง ออกแบบโดยสถาปนิกระดับโลก ซึ่งนอกจากจะให้ความรู้แล้ว ยังกระตุ้นปลุกเร้าให้เด็กๆรู้จักใช้สินค้าตราเกาหลีโดยการ ‘แสดงให้เห็น’ ไม่ใช่แค่ ‘บอกให้ทำ’ เหมือนที่เราเอาแต่โฆษณาปาวๆให้อนุรักษ์ไทย แต่มองไปมองมาก็ต้องตั้งคำถามว่า นอกจากของเก่าๆแล้ว ยังมีอะไรควรค่าให้อนุรักษ์บ้างไหม
ผมได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า ลีให้คุณค่ากับเด็กๆอย่างที่เด็กๆเป็น และพยายามส่งเสริมไลฟ์สไตล์ของเด็กๆ ด้วยการลงมือทำ
ไม่ใช่แค่ใช้ปากสั่ง

3
เราคนไทยมีแนวโน้มที่จะใช้อำนาจควบคุมกันและกันอยู่เสมอด้วยการ ‘สั่ง’ อาทิเช่น สั่งไม่ให้ดื่มเหล้าก่อนอายุ 25 ปี สั่งไม่ให้เด็กผู้หญิงมีเซ็กซ์ก่อนวัยอันควร (ซึ่งเอาเข้าจริงๆก็ไม่รู้ว่า ‘ควร’ คือเมื่อไหร่) และสั่งอื่นๆอีกมากมายเพื่อให้สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เด็ก’ อยู่ในรีตในรอย ซึ่งก็คืออยู่ในการควบคุมของเราอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
แต่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เด็ก’ โง่และขาดไร้ซึ่งวุฒิภาวะถึงขนาดนั้นเลยเชียวหรือ?
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คำถามที่ต้องย้อนถามกันหนักๆก็คือ แล้วพวกเขาเป็นผลผลิตของใคร...ของสังคมแบบไหน,
ของเมืองแบบไหน?
ในเมืองที่ไม่มีพิพิธภัณฑ์ชั้นดี ไม่มีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมืองที่ไม่มีรั้วกั้น ไม่มีหอศิลป์ที่ดี ไม่มีกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้เงินซื้อ ไม่มีทางเลือกอื่นใดให้เด็กๆ นอกจากการไปเดินห้างและเที่ยวกลางคืน คุณคิดว่าเด็กๆในเมืองนั้นจะใช้ชีวิตแบบไหน
แน่นอน พวกเขาก็ย่อมต้องนัดกันกลางเมือง เดินดูของ ช็อปปิ้งเท่าที่พอจะทำได้ ดูหนังตลาดๆสนุกๆสักเรื่อง กินข้าวร้านหรูที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจากนั้นก็ไปเที่ยวกลางคืน กินเหล้า แล้วก็มีเซ็กซ์
พวกเขาจะนัดกันไปเดินลุยลำธารกลางเมือง ไปฟังคนอ่านบทกวีในสวนสาธารณะ ไปดูงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์มีเซียม ยิบอินซอย ซึ่งมีรถใต้ดินตัดผ่านไปถึง หรือไปสุมหัวกันอยู่ในห้องประชุมในหอสมุดกลางเมืองเพื่อจัดละครประจำปีได้อย่างไร
ในเมื่อเมืองไม่มีสิ่งเหล่านี้ให้พวกเขาเลย
พวกเขาก็ต้องนัดกันไปบริโภค ดื่ม แดก ดริงค์ แล้วก็จบลงบนเตียงด้วยเซ็กซ์ที่น่าเบื่อกับคู่ที่น่าเบื่อ (เพราะขาดไร้ซึ่งวุฒิภาวะและปัญญาพอๆกันไปหมดทั้งเมือง) จนต้องตระเวนหาคู่ใหม่ไปเรื่อยๆทุกคืนๆ
แล้วเราก็ ‘บังอาจ’ ไปห้ามพวกเขาดื่มแอลกอฮอล์
ถ้าไม่มีแอลกอฮอล์ อะไรจะบดบังสติ ทำให้พวกเขามึนเมา และมองเห็นความงามในตัวคู่ที่กำลังคั่วอยู่ได้เล่า

4
คุณคิดว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่ สุดจะ vibrant และมี ‘ทางเลือก’ ให้ไลฟ์สไตล์มากมายนักหรือ
ที่จริง กรุงเทพฯเป็นเมืองที่มีทางเลือกจำกัดมากต่างหาก
และข้อจำกัดนี้ นับวันจะยิ่งขีดวงตัวเองให้แคบลงเรื่อยๆ

ความผิดปกติในชีวิตประจำวัน (อันน่าเบื่อหน่าย)


เย็นวันหนึ่ง ที่ฝนตั้งท่าว่าจะตก แต่ไม่ตก
ผมตั้งคำถามกับชีวิตของตัวเองและเผื่อแผ่ไปยังชีวิตคนอื่นด้วยว่า เราพอใจกับชีวิตปกติประจำวันของตัวเรามากแค่ไหน

ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เงินเดือน มนุษย์ฟรีแลนซ์ มนุษย์ไม่ทำอะไรเลย ยอดมนุษย์ หรืออมนุษย์ก็ตาม ทุกคนต่างก็ต้องมีวงจรชีวิตที่ซ้ำซาก น่าเบื่อหน่ายในแบบของตัวเอง (แม้สิ่งที่บางคนทำในแต่ละวัน จะสุดแสนพิสดารหรือหวาดเสียว แต่พอทำไปบ่อยๆ เข้า ความเสียวสยองก็กลายเป็นความน่าเบื่อได้เหมือนกัน) เพราะการใช้ชีวิตซ้ำไปซ้ำมาในแต่ละวันนั้น หนึ่งนาทีของวันไม่ได้ผ่านไปง่ายๆ เราต่างยากลำบากในการขับเคลื่อนตัวเองให้เดินหน้าไปสู่จุดหมายข้างหน้า

พูดถึงจุดหมายข้างหน้า? ชีวิตของคนส่วนใหญ่หมุนไปสู่ความหวังกันทุกคนหรือเปล่า? ผมคิดว่าไม่นะ หลายคนอาจไม่ได้มีเป้าหมายใหญ่เพียงพอสำหรับตัวอง ไม่รู้ว่าอนาคตจะพาเราไปสู่จุดไหน บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการมีเป้าหมายใหญ่ๆ นั้นมันมีหน้าตาอย่างไร และเมื่อคนส่วนใหญ่ไม่ได้มีความหวังใหญ่โตรออยู่ เราจึงได้แต่อาศัยฟันเฟืองเล็กๆ จากชีวิตประจำวัน เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงของเหลวในหัวใจให้ยังไหลเวียนสะดวก

แต่ชีวิตประจำวันอันซ้ำซากและปกติสิ้นดีนั่นเองที่ทำให้ผมสงสัยว่าเราพอใจกับการใช้ชีวิตมากน้อยแค่ไหน ผมไม่เถียงว่าความเรียบง่าย ความคุ้นเคย ก็นำพาความสงบกระทั่งความสุขอีกแบบมาสู่ตัวเราได้ แต่ในความเป็นมนุษย์แล้ว วิญญาณของเราใช่ไหม ที่ถูกออกแบบมาให้มีลักษณะของการค้นหาความหมาย ค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่จะยกระดับตัวตนของเราขึ้นมาตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ

ดังนั้นในความปกติของยี่สิบสี่ชั่วโมง ผมก็หวังว่าจะมีสักหนึ่งหรือสองในนั้นที่เกิดความผิดปกติขึ้น

ในขณะที่เรานิ่งเฉย มืออันซุกซนของเราอาจเผลอ (อย่างตั้งใจ) ที่จะโทรศัพท์หาคนที่ไม่คุ้ยเคย หรือแอดอีเมล์ของคนที่ไม่รู้จักเข้ามาในลิสต์ กระทั่งเขียนบล็อก เพราะหวังว่าจะมีอะไรบางอย่างหรือใครบางคนมากระทบตัวตนด้านในของเรา เราอาจไปเดินเล่นในสถานที่ที่เราไม่เคยนึกว่าจะไป เพื่อรับรู้ถึงเสียงลมหายใจของคนถิ่นอื่น เราใช้เวลาตัดสินใจสั้นๆ ที่จะแลกเปลี่ยนบทสนทนาอันยาวนานกับคนที่เราถูกชะตาแต่ไม่คุ้นหน้า ผมคิดว่าใครหลายคนได้ลงมือทำสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว และผมเชื่อว่าส่วนน้อยเท่านั้นที่จะรับอะไรดีๆ กลับมา ส่วนใหญ่น่าจะได้รับความว่างเปล่า หรืออาการประดักประเดิกเป็นของติดมือเสียมากกว่า เพราะว่าในชีวิตประจำวันไม่ได้มีโชคดีเกิดขึ้นได้บ่อยๆ

แน่นอน แม้ว่าเราจะเสียแรงและเวลาน้อยนิดในการลงมือ แต่ความผิดหวังก็ให้รสชาติเข้มข้นอยู่ดี มันเป็นความผิดหวังที่ไม่ได้มีต้นทางมาจากความคาดหวังอันชัดเจน แต่เป็นความรู้สึกพลาดหวังจากการที่เราพยายามจะต่อติดกับโลกที่สังกัดอยู่ จากนั้นเราก็จะกลับมารักษาวงจรชีวิตประจำวัน (อันน่าเบื่อ) ของเราอีกครั้ง ปิดประตู ลงกลอน ประหนึ่งว่าจะไม่ออกไปไหนอีก แต่สุดท้ายแล้วเมื่อหายแสบคัน เราก็พร้อมที่จะแหย่เท้าไปควานหาความผิดปกติอีก

เราจะเรียกวงจรนี้ว่าความโศกเศร้าของชีวิตได้ไหม?

ผมนึกถึงคำพูดของ คริสโตเฟอร์ ดอยล์ ผู้กำกับภาพชื่อดังชาวออสเตรเลีย ที่พูดถึงตัวละครที่เขาถ่ายในหนังของ หว่อง กา ไว ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้มีวิถีชีวิตซ้ำๆ หรือขังตัวเองอยู่ในโลกส่วนตัว เพราะความหดหู่ เศร้าหมอง

"ผมไม่คิดว่าตัวละครมีความเศร้าโศก ผมคิดว่าพวกเขากำลังมองหามากกว่า พวกเขามองหาอะไรบางอย่างอยู่เสมอแต่ยังไม่เจอ ถ้าคุณคิดว่านี่คือความหดหู่ ความเสียใจ ผมว่าคุณเข้าใจชีวิตผิดแล้วล่ะ" *

มองหาอะไรบางอย่างอยู่เสมอ... แต่ยังไม่เจอ
เย็นวันนั้นฝนตั้งท่าว่าจะตก แต่ก็ไม่ตกจริงๆ ด้วยล่ะ

....................................
* (บทสัมภาษณ์ คริสโตเฟอร์ ดอยล์ จากนิตยสาร mars ฉบับไหนก็ไม่รู้ ลืมแล้ว)

Pirate Sushi

Hachi on the Blog
Presents
01

ปลาแอตแลนติก bluefin ทูน่า ที่กลายหน้าตามาเป็นซูชิกับซาชิมิในร้านอาหารญี่ปุ่นที่เรากินกัน (ราคาแพงหูฉี่) นั้น เราไม่มีทางรู้เลยว่าเป็นปลาที่ลักลอบจับมาหรือไม่
ทะเลเมดิเตอเรเนียนเป็นแหล่งที่มีการจับทูน่าพันธุ์นี้เยอะที่สุด ทราบไหมว่าทูน่าจำนวนเกือบหนึ่งในสามที่จับได้ที่นั่นล้วนแอบจับกันแบบผิดกฎหมายทั้งสิ้น (ถือเป็น Unreported fishing หรือ IUU )

เปิดม่าน


1
สมัยตอนอยู่มหาลัย ผมกับเพื่อนเคยตั้งวงกันทำเว็บบอร์ด ทำขึ้นมาหวังไว้ว่า
นี่จะเป็นหนังสือรุ่นของพวกเรา ที่เราจะได้ติดต่อกัน
วันเวลาผ่านไป แม้จะทำร้ายใบหน้าพวกเราแต่เว็บไซท์ของพวกเราก็ยังเปิดทำการแถมมีรุ่นน้องรุ่นพี่ในมหาลัยเข้ามาร่วมแจมกับเราด้วย
8 ปีแล้วที่เราทำกันมาและอยุ่ได้ด้วยเงินบริจาคของเพื่อนๆ และพี่น้องร่วมคณะฯ
2
ไม่กี่วันตอนเปิดงาน Bangkok film fest ผมเจอเพื่อนเก่า เป็นช่างภาพ เขาทำงานอยู่โปรดักชั่นเฮาส์แห่งหนึ่ง เขาบอกว่าที่บริษัทเขาบังคับให้พนักงานเขียนคอลัมน์ ทำเป็นนิตยสารเย็บมือแจกกันทุกสัปดาห์ต้องส่งต้นฉบับ เย็บเล่มแล้วแจกให้พนักงานทุกคนอ่าน ตั้งแต่หัวหน้าลงมา เลยเถิดถึงแจกลูกค้าคนสนิทไปอ่านเล่น ข่าวว่าก็นิยมกันพอสมควรแถมหัวหน้าบริษัทก็ถือเป็นกิจกรรรมสำคัญกว่าการเข้างานตรงเวลาเสียอีก มาสายไม่ว่า แต่ไม่ส่งต้นฉบับ น่าดู
3
ไอเดียสองข้อแรก ทำให้ผมได้ความคิดว่า ทำไมไม่ลองทำอะไรสักอย่างกับ GM PLUS สนุกๆ
ฮาๆ ไม่ต้องคิดมาก
การทำบล็อกของเพวกเราก็เลยเกิดขึ้น ผมไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแหล่งปราชญ์ปัญญา มาชุมนุมกันโดยนัดหมาย แต่เพียงอยากให้พวกเราเหล่าทีมงานและเหล่าผู้อ่านที่เป็นแฟนติดตามเรา ได้มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็น เขียนเข้ามาร่วมสนุก แชร์ไอเดียกัน เรื่องไหนโดน เรื่องไหนน่าสนใจ ในอนาคต ผมอาจขยายจากข้อเขียนในบล็อก ไปเป็นคอลัมน์ในนิตยสารของเรา แถมยังได้ฝึกปรืองานเขียนในอีกแบบหนึ่งที่แตกต่างจากงานนิตยสาร
พวกเรา GM PLUS ชอยบและหวังว่าคุรผู้อ่านก็จะชอบด้วยเช่นกัน
ทัศนางานเขียน และแสดงตัวตนของคุณอย่างเต็มที่ ตั้งแต่ตอนนี้เลย

ปล. ขออธิบายเรื่อง
จริงๆ กลัวข้อเขียนมันจะโล้นๆ ก็เลยเอารูปมาลง ให้ดูเตะตานิดหน่อย ผมวาดรูปนี้เเม่อประมาณ 2 ปีก่อน แรกสุดกะว่าจะเอามาทำเป็นภาพประกอบในคอลัมน์สมัยอยู่ที่สุดสัปดาห์ ตอนวาดกะจะเขียนเรื่องความวุ่นวานในเมืองหลวงอะไรสักอย่าง แค่พอออกมาเป็นรูปรู้สึกว่าถ่ายรูปเอาน่าจะสื่อได้ดีดว่า ก็เลยเก็บเอาไว้ดูเอง ตอนนี้ต้นฉบับจริงหายไป(เซ็ง) เหลือแต่ไฟล์ไว้ดูต่างหน้า

สังคมบันเทิง (Episode I)

0.43 a.m. Friday 20 ,2006

อ่ะ ... ทำไมไม่มีใครเข้ามาอ่านเลยเหรอเนี่ย เอ๊ะ !!! ยังไง แต่ก็ไม่สนหรอก เชิ่ด เชิด จริงๆอ่ะ ก็ไม่รู้จะเขียนไรดี เพราะไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ ไม่เหมือนกับการนั่งเมาท์ เรื่องชาวบ้านบ้าง เรื่องตัวเองบ้าง แล้วแต่ใครจะถึงคิวเผาก่อนก็ว่ากันไป ว่าแต่ว่าช่วงนี้มองไปทางไหนทำไมมีแต่ใครๆเขียนบล็อก ได้เคยแต่เป็นคนอ่าน ไม่เคยเขียนให้ใครอ่านอย่างจริงจังซะที เพราะเขียนไม่ไมสาระอะไร นั่งอ่านของชาวบ้านเห็นเขาเสนอแนวคิด นี่ นั่น โน่น those this that ... ดูแล้วแบบว่า เก๋ นะยะ ... แลดูปราดเปรื่อง เอาวะ ลองดูบ้างดีกว่า เผื่อจะมีคนอ่านแก้เซ็ง

นี่ก็จะหมดไปอีกปีแล้ว ไม่อยากจะเชื่อว่าวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งมารู้สึกได้ชัดก็ตคอนเริ่มทำงานนี่แหละ วันๆทำงานงกๆๆๆๆๆๆ แทบจะไม่มีเวลา ที่ได้ยินมาใครๆก็พูดแบบนี้กันทั้งนั้น ถึงสิ้นเดือนก็ได้เงินมาซะหน่อยนึง อยู่กับเราได้ไม่เท่าไหร่จัดสรรจ่ายค่าจิปาถะก็เหลือไม่ถึง 5 พัน โอว...พระเจ้า ขึ้นเดือนใหม่ก็สิ้นใจเลยทันที ทำไมต้องเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ก็ทำไงได้เพราะต้องจ่ายเพื่อคุ้มหัวตัวเองนี่แหละ ทำยังไงได้ละคะ ด้วยความที่เป็นสาวบ้านนอกอยากจะออกจากบ้านมาเมืองกรุง ก็ต้องมาเผชิญชีวิตสุดลำบาก ยากที่จะทำใจ ตายแร้ว !!! แล้วจะยังไงล่ะคะเนี่ย ว่าแล้วก็อยากจะลองมาจำแนกแจกแจงกับเรื่องเงินค่าใช้จ่ายของตัวเองที่เป็นอยู่ในปัจจุบันว่ามันหายไปไหน ตอนแรกก็นึกว่าคิดว่าเป็นอยู่คนเดียว แต่พอไปคุยกะหลายๆคนแล้วก็เป็นเหมือนกัน เรื่องปัญหาการเงินชักหน้าไม่ถึงหลังคงไม่เข้าใครออกใครสำหรับคนที่เพิ่งจะเริ่มทำงานได้ไม่นาน เพิ่งจบมหาวิทยาลัยมาไม่ได้เท่าไหร่ ก็ต้องทำงาน มีงานอะไรมาก็ต้องทำ เงินเดือนพอถูๆไถๆ ดิชั้นก็เอาๆไปก่อนดีกว่าอดตายนั่งอายฟ้าดินอยู่เปล่าๆ ไม่มีทางเลือกนี่คะ ก็เลยเอาวะ สู้โว้ย ... ว่าแล้วลองมานั่งเล่าเรื่องการทำงานของเราสิคะว่าวันๆนึงเราทำอะไรกันบ้าง แล้วได้เงินคุ้มกับสิ่งที่ทำอยู่รึเปล่า

สำหรับงานในอาชีพแรกที่เป็นหลักเป็นแหล่งของสาวมั่น คันคะเยอ อย่างดิชั้น นับว่าเป็นการก้าวเริ่มงานที่จะมองว่าเก๋ๆก็เก๋ค่ะ ใครจะไปนึกว่าน้องนางบ้านนาจะพาหน้าตาอันสวยเก๋เหมือน เดวอน อาโอกิ มาทำงานให้กับนิตยสารฉบับหนึ่ง ไม่ใช่สิ 2 ฉบับ ในตำแหน่งของเหยี่ยวข่าวสาวสังคม นิยมความบันเทิงเริงใจในชีวิต ที่จะทำผู้คนในโลกหล้าจะได้เห็นหน้างดงามและความฉลาดอย่างแท้จริงซะทีว่าเป็นอย่างไร

ว่าแล้วก็ต้องเตรียมตัวกันให้สวยทุกวัน ไม่ว่าเสื้อผ้า หน้าผม นมปลอม ต้องเป๊ะ เพราะคิดไว้เสมอว่างานสังคมที่จะไปนั้นไม่ต่างอะไรกับสนามรบ ที่จะต้องเจอสาวๆประเภทเดียวกัน คอยจ้องมองตั้งแต่หัวจรดเท้า เอาสิย๊ะ ดิชั้นก็ไม่หวั่นแล้วเราจะได้เห็นดีกัน จากวันนั้นถึงวันนี้ทำให้ดิชั้นเรียนรู้อะไรหลายอย่างจากการไปงานสังคมที่พอจะสรุปได้ ไม่รู้ว่าใครจะเห็นด้วยรึเปล่า ไว้จะมาเล่าให้ฟังนะคะ ขอทำงานก่อนเดี๋ยวไม่เสร็จ...


นางฟ้า...มหาประลัย

Wednesday, October 18, 2006

"Welcome to GMPLUS Club"

""Welcome to GMPLUS Club"