THE KULTURES

Culture / Tech / Talks /

Saturday, December 02, 2006

เป็นของพี่นะครับคนดี


“เป็นของพี่นะครับคนดี”

1
“หวัดดีจ๊ะ ภรรยาของพี่ ไม่โทรหาสามีเลยนะ” ปลายสายเป็นเสียงของผู้ชายที่ผมเคยมีอะไรด้วย ไม่ใช่เพราะที่เขาโทรมาหรอก แต่คำทักทายของเขาต่างหากที่ทำผมตะขิดตะขวงใจ
“เฮ้ย! ผมไปเป็นภรรยาของพี่ได้ไง(ฟะ)” ผมใช้สิทธิ์พาดพิงโต้ทันควัน
“อ้าว! ก็เรามีอะไรกันแล้ว เราก็ต้องเป็นของพี่ไม่ถูกเหรอ”
ให้ตายสิ! เหมือนภาพอดีตรีรันอย่างรวดเร็ว ครั้งหนึ่งขณะที่ผมกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกับผู้ชายอีกคน นี่คงจะเป็นค่ำคืนที่ร้อนแรงของเรา ถ้าตานั่นไม่ดันทะลึ่งคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกละครน้ำเน่าพูดว่า...
“เป็นของพี่นะครับคนดี”
รสจูบยังไม่ทันกำซาบ ผมหมดอารมณ์จนผละเขาออกจากอ้อมแขน แล้วร่ายยาวเรื่องสิทธิสตรีให้เขาฟังหนึ่งจบแทน แน่นอนว่าคืนนั้นเราไม่มีอะไรกันต่อ...
ถ้ารู้ว่าอีตานี่ก็เป็นอีหรอบเดียวกัน ผมคงไม่เสียเวลากับมันตั้งแต่แรกหรอกนะ

2
สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเกย์มักได้รับความไว้วางใจให้เป็นที่ปรึกษาของเพื่อนมนุษย์เสมอ เพื่อนสาวนางหนึ่งของผมโทรมาปรับทุกข์เรื่องหัวใจ ผู้ชายคนนี้จีบเธอได้พักหนึ่งแล้วล่ะ วันก่อนทั้งคู่นัดกันไปตีสควอช แต่เจ้าหนุ่มดันเบี้ยวซะงั้น เขาให้เหตุผลว่า
“ช่วงนี้ไม่รู้ทำไมผมดวงซวยตลอดเลย ผมว่าจะไปทำบุญกับคุณแม่ก่อน ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ไปตีสควอชด้วยไม่ได้ คุณคงไม่ว่ากันนะ” ฟังดูเป็นพ่อหนุ่มใจบุญ แต่เพื่อนสาวของผมก็ฉลาดล้ำ ต้อนจนผู้ร้ายยอมถอดจีวรสารภาพ
“พูดความจริงมาเถอะ เราไม่โกรธหรอก ก็เราไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย” แหม...เธอยังอุตส่าห์เป็นแม่พระกับโจรอีก
“คือที่จริงผมไปเที่ยวทองหล่อมา แล้วมีผู้หญิงมาขอเบอร์ผม...”
“พอรุ่งเช้า ผมตื่นมา ทั้งโทรศัพท์ ทั้งเงินในกระเป๋าก็หายไปหมดเลย...” เขาตัดฉับมาในฉากตอนเช้าอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น และไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเพื่อนสาวของผมโกรธขนาดไหน
“เราไม่โกรธหรอก ก็เราไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย” เธอยอมฝืนกลืนคำพูดตัวเองแล้วคายมันออกมาเป็นน้ำตา...

3
ไม่รู้หมู่นี้ทำไมคนใกล้เคียงของผมถึงมีปัญหาหัวใจกันหมด เพื่อนสาวอีกคนของผมเพิ่งจะเลิกรากับแฟนหนุ่มที่คบหากันมานาน ซ้ำร้าย เธอดันเลิกกับเขาในวันครบรอบปีที่สี่พอดิบพอดี ที่จริงก่อนหน้านี้ทั้งคู่ก็มีปัญหาระหองระแหงกันเรื่อยๆ เลิกกันแล้วก็ดีกัน แต่ท่าทางคราวนี้จะรุนแรงกว่าเดิมนักจนหมดลุ้น
แฟนของเธอเป็นคนโมโหร้าย เธอเองก็เพิ่งจะล่วงเข้าสู่วัยทำงานจึงมีเวลาให้แฟนน้อยลง จังหวะเดียวกับที่เธอไม่สบาย จึงไม่อยากมีอะไรกับแฟนเธอเท่าไร พอห่างหายเรื่องแบบนี้ไป แฟนเธอก็เริ่มอาละวาดฟาดงวงฟาดงา หาว่าเธอมีคนอื่นบ้าง หาว่าเธอไม่รักเขาบ้าง หนักข้อเข้าเธอก็เริ่มหนักใจและอยากปลดแอกนี้ออกไปจากตัว
“จริงๆเราไม่อยากจะเลิกกับเขาเลยนะ” เธอพรั่งพรูคำนี้มานับร้อยครั้ง พร้อมกับน้ำตาอีกนับล้านหยด...

4
ไม่ต่างจากแฟนของเพื่อนผมคนเมื่อกี้ ผู้ชายคนนี้ก็เลือดร้อนพอกัน เขาซัดหมัดลุ่นๆเข้าใส่เทรนเนอร์อย่างเต็มเหนี่ยว เทรนเนอร์ได้แต่ปัดป้องไม่โต้ตอบ เท่าที่ผมและคนรอบข้างเห็น เทรนเนอร์คนนี้แค่จับไหล่ของเธอเพื่อเซฟร่างกายตอนยกเวทเท่านั้น ไม่ได้มีท่าทีลวนลามเธอเลยสักนิด
“มึงมายุ่งกับเมียกูทำไม!” ผู้ชายคนนั้นตะโกนด่าเสียงดังลั่นจนคนแถวนั้นหยุดออกกำลัง
“พี่เชิด! เขามาสอนออกกำลังกายนะ!” ภรรยาพยายามห้ามไว้
“แล้วมึงเป็นเหี้ยอะไรไปให้เขาจับอยู่ได้ มึงเป็นเมียกูนะ!” เอ่อ...เป็นอันว่าโดนเข้าให้ทั้งภรรยาและเทรนเนอร์

5
ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า...
ตรงจุดไหนของเส้นความสัมพันธ์ที่ทำให้เรารู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอีกคน
ตรงจุดไหนของเส้นความสัมพันธ์ที่ทำให้เรากลายเป็น “ของ” ของเขา
และทำไมหัวใจที่รักในเสรีภาพถึงยอมถูกพันธนาการไว้ ความรู้สึกสยบยอมเช่นนี้มีมาได้อย่างไร
(คุยกันไปก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะมาเล่าให้ฟังว่าผมคิดยังไง)

Justify My Love

11 Comments:

  • At 1:48 AM, Blogger J o e ~ * said…

    หืม...เขียนใหญ่มาก

    สำนวนโวหารการประพันธ์นี่ทำให้เด็กอักษรหลายๆคนตายไปเลย เด็ดดวงมาก

    ถ้าทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง งานเขียนชิ้นนี้ก็เป็นงานที่เปลือยพี่ให้ผมรู้จักพี่มากขึ้นแล้วล่ะ

    ขอบคุณครับ

     
  • At 11:10 AM, Blogger the aesthetics of loneliness said…

    "งั้นก็เชิญเมิงไปเป็นของคนอื่นก็แล้วกัน ไอ้เลว!!!!! "
    ไอ้หมอนั่นคงคิดแบบนี้ในหัว ตอนที่ท้อฟกำลังพล่ามเรื่องเฟมินิสต์ให้มันฟัง

     
  • At 11:30 AM, Anonymous Anonymous said…

    น้องเหมียวเขียนอะไรได้น่าอ่านดีนะ อ่านแล้วก็ได้กลับมาส่องดูสารรูปตัวเองเหมือนกันว่าอันตัวเราน่าสมเพชเหมือนคนที่ตกเป็นทาสความรักเหมือนตัวละครในเรื่องราวของเหมียวหรือเปล่า

    ถ้าจะให้พี่หนวดบอกว่าคิดเห็นอย่างไร พี่หนวดก็คงนั่งเกากบาลแล้วบอกว่า "กูไม่รู้" เพราะบางทีเรื่องของอารมณ์และความลุ่มหลงกันไม่มีมาตรวัดอะไรจะบอกได้ว่ามันอยู่ในขอบเขตหรือกำลังล้นทะลักจุดพอดีออกไปมากน้อยขนาดไหน เหมือนๆ กันกับคำว่า "รัก" ที่พวกเราชอบพูดถึงนั่นแหละ มันเป็นแค่สสารทางอารมณ์ที่คนเราคิดไปว่ามันออกแบบได้ จับต้องได้ มีรูปร่าง ทว่าจริงๆแล้วมันก็เป็นความรู้สึกรูปแบบหนึ่งที่เปลี่ยนรูปไปตามวันเวลาที่ผ่านไปและความน่าเบื่อหน่ายของคนรักอีกฝ่ายที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน พอถึงจุดหนึ่งความรักความใคร่ก็เหือดหายไป เหลือแค่ความน่าเบื่อ ความเซ็ง...และจุดนี้เองที่สสารที่เรียกว่ารักก็เริ่มถ่ายเทเปลี่ยนรูปตัวเองไปสู่พาชนะอื่นๆ ที่ใหม่ สด ซิงและเร้าใจกว่า

    สรุปแล้วมันก็แค่อารมณ์หนึ่งของสัตว์สองขาที่เรียกว่ามนุษย์ผู้สุดจะเข้าใจยาก สิ่งเดียวที่ทำได้ก็แค่มีความสุขไปกับความงดงามของความรักที่แย้มบานและอาลัยกับการร่วงโรยของมันตามวันวัยอันควร...ก็เท่านั้นเองเนาะ

    พี่หนวด

     
  • At 10:39 PM, Anonymous Anonymous said…

    รออ่านอะไรแบบนี้มานาน
    อะไรที่อาจดูคล้าย Magnolia+Love Actually
    แต่ก็เป็นรสที่หนัง 2 เรื่องนี้ไม่มี

    'Localize' จับใจ และใกล้ตัว

    blackcomedy

     
  • At 1:31 AM, Anonymous Anonymous said…

    `นี่มาจากเรื่องจริงรึเปล่าคับเนี่ย 55 ผมว่าพี่เขียนสื่อความรู้สึกดีนะ เหมือนได้รับรุ้ความรุ้สึกจิงๆ ของพี่ เรื่องของพี่ผมคิดว่า คนมาทำตัวเปนเจ้าของมันก้อดีนะ แต่ถ้ามากเกินไป อะมันก้อดูเกินไปหน่อย เราคงอึดอัดและรู้สึกเสียอิสระอย่างมากมาย ผมเคยเป็นมาแล้ว เข็ดเลยละ เด๋วนี้เจอใครคงไม่ยอมให้ใครมากำหนดเราได้แบบนั้นอีกแล้ว เหอๆ เขียนต่อนะคับไว้ผมจะมาอ่าน

     
  • At 6:21 PM, Anonymous Anonymous said…

    อิอิอิ

    อ่านไปก็อมยิ้มไปนะ น้องบรรยายได้เห็นภาพมาก
    โดยเฉพาะตอนที่บอกว่า

    "รสจูบยังไม่ทันกำซาบ ผมหมดอารมณ์จนผละเขาออกจากอ้อมแขน"

    ความกำซาบนี่เป็นยังไงพี่โตจนป่านนี้ยังไม่รู้รสเลย
    อ่านแล้วอยากกำซาบบ้างชะมัด

     
  • At 5:57 PM, Anonymous Anonymous said…

    ถ้ารักก็ยอมได้
    55+

     
  • At 1:03 PM, Anonymous Anonymous said…

    อ่านไปแค่บรรทัดแรกๆ ก็อึ้ง

    เป็นเนื้อความที่เปิดเผยมากเลยอ่ะ

    ******

    เมื่อไหร่ก็ตามที่เราแสดงความ 'เป็นเจ้าของ' สิ่งใด เมื่อนั้นเราก็เสียสติไปแล้วล่ะ

    ไม่มีอะไรเป็นของเรา ไม่มีอะไรเป็นของเรา ไม่มีอะไรเป็นของเราจริงหรอก

    แต่ยังไงก็ตาม เราว่าสิ่งหนึ่งที่คนเราจำเป็นต้องรักษาไว้ให้ได้ ก็คือ การกระทำที่รักษาน้ำจิตน้ำใจกัน ด้วย

    และแม้เราจะไม่ใช่ของเขา หรือเขาจะไม่ใช่ของเราก็ตามที

    เราก็ควรปฎิบัติต่อกันอย่างดีงาม ไม่ทำร้ายกัน

    แหวะ พูดไปก็เลี่ยนเอง

     
  • At 1:09 PM, Anonymous Anonymous said…

    อืม เป็นงานเขียนที่ได้อารมร์มาก อยากให้หว่องคาไว มาเอาไปทำหนัง
    พี่ว่าที่มนุษย์ดลกชอบมาปรึกษาปัญหากับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเกย์
    เพราะเขาคงคิดว่าเกย์ มีควา่มเป็นกลางระหว่าง สองฝั่ง คือชาย กับหญิง แต่แท้จริงแล้วเขายังไม่ยอมรับว่าเกย์คือเกย์ เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง ที่เขาได้เลือกเส้นทางของตัวเองแล้ว ไม่ใช่คนที่กำลังยืนอยู่ตรงกลาง

     
  • At 12:56 PM, Anonymous Anonymous said…

    comment ไม่ถูกเลย เพราะเขียนดีมาก ดูจริงจัง ไม่ค่อยพระรามเก้าเท่าไร่
    เขียนดีครับ เขียนอีกๆๆๆ จะมาอ่่าน

     
  • At 7:29 PM, Blogger gmplusclub said…

    ปัญหาเรื่องเกยืกับการ identifine บทบาทนี่ มันละเอียดอ่อนมากๆ บางคนเขาก็ชอบนะ ที่จะให้ทำ หรือถูกทำแบบนั้น เพราะรู้สึกว่า การมีเจ้าของทำให้ตัวเองมีค่า(การมีเจ้าของในสังคมเกย์ อาจสะท้อนถึงความคิดเรื่องของ "การมีที่ทาง" ของเกย์ในสังคมได้ด้วยซ้ำ) ถ้าถามตัวเอง ผัวเมียในความหมายหนึ่ง มันเป็นการจำลองโลกของชายจริงหยิงแท้มาไว้ในโลกของเกย์ ซึ่งโลกของเกย์ไม่ได้เป็นอย่างนั้นสักหน่อย แต่ก็นั่นล่ะ ก็มีน้อยคนที่จะคิดแบบนั้นอีก บางทีการที่เกย์ไปยึกบรรทัดฐานของการมีครอบครัวแบบ hetro มันไม่ใช่คำตอบว่ะ แต่ขณะเดียวกัน เกย์เองก็ยังไม่สามารถสร้างสังคมเฉพาะของตัวเองขึ้นมาได้จริงๆ อาการกระอักกระอ่วนแบบนี้ก็เลยเกิดขึ้น
    สำหรับผมผมว่ามักระดกาปากนะ หากจะเรียกใครสักคนว่าเป็นผัวเป็นเมีย ขนากเป็นชายจริง หญิงแท้ ผมก็ไม่ชอบ เพราะมันสะท้อนถึงหน้าที่บางอย่าง ซึ่งเราเองก็ไม่เชื่อในหน้าที่แบบนั้นอยู่เป็นทุนเดิมก็เลยไม่ค่อยชอบ หรือว่า ผมอาจเป้นพวกไม่อยากให้ใครมาเป็นเจ้าของ หรือกลัวเกินไปกับการผูกมัดหรือเปล่าไม่รู้

     

Post a Comment

<< Home