THE KULTURES

Culture / Tech / Talks /

Thursday, November 23, 2006

พระเจ้ายืนอยู่ข้างการกระทำผิดของเรา

ผมเคยตั้งคำถามหนักๆ เกี่ยวกับการกระทำผิดของตัวเองอยู่เสมอ

เมื่อตอนอายุ 20 ต้นๆ ในช่วงชีวิตที่ความผิดบาปยังดูเป็นของแปลกหน้า ผมรู้สึกราวกับว่าความผิดพลาดในชีวิตถึงขั้นที่จะฝังรากลึกลงในจิตใจนั้น ยังเป็นเรื่องห่างไกลมาก มากราวกับว่ามันอาจจะไม่มีทางเกิดขึ้นกับตัวเองเลยก็ได้ในชาตินี้

แต่เวลาผ่านไปอย่างเพลิดเพลิน ความสุข ประสบการณ์ชีวิตที่ดีๆ ก็เติบโตขึ้น จากความพยายามที่ผมจะใช้ชีวิตให้เป็นคนดีคนหนึ่งในสังคม ขณะเดียวกันนั้นมันก็พาตัวผมมาสู่เส้นทางของคนบาปโดยไม่รู้ตัว

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ผมเข้าไปพัวพันกับสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความผิดในระดับที่เข้มข้นต่างกันไป และบางเหตุการณ์ก็เข้มข้นมากเสียจนผมไม่รู้ว่าจะหาน้ำตาที่ไหนมาชดใช้ ความผิดบาปที่เกี่ยวโยงกับผู้คนในชีวิตและชักใยเข้าสู่จิตใจของผมเองในที่สุด บางทีความผิดบาปเหล่านี้อาจจะเป็นตัวสะท้อนคำว่า "เราไม่ได้อยู่เพียงลำพังในโลก" ได้ดีกว่าหนังของคนขี้เหงาเสียอีก

วินาทีที่ผมอยู่ในวงล้อมของการกระทำบาป ผมมีโอกาสเพียงครั้งเดียวที่จะเลือกตัดสินใจ เป็นโอกาสที่คล้ายกับแสงเพียงวูบเดียวที่สาดส่องสู่นัยน์ตา และโอกาสที่ว่าก็มักจะหลุดลอยไปเสมอในยามที่เราต้องการมัน ข้อสังเกตเกี่ยวกับความผิดบาปก็คือมันมักจะไม่ได้ตีตราตัวเราว่าเป็นคนชั่ว คนเลว หรือฆาตกรใจโหด แต่บาปของคนส่วนใหญ่คือการแกะสลักความบกพร่องของชีวิตลงไปในความทรงจำของเรา เรายังเป็นคนปกติใช้ชีวิตอยู่ในสังคม เสียภาษี ประกอบอาชีพได้ตามวิถี แต่ในรายละเอียดของการก่อสร้างตัวเอง ผมไม่แน่ใจนักว่าตัวผมมีส่วนผสมที่ดีเหลืออยู่แค่ไหน ไม่มีสักวันที่ผมจะตื่นขึ้นมาแล้วลืมความผิดพลาดที่เคยก่อขึ้น แม้ผมจะเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ขยันให้อภัยตัวเองอย่างสม่ำเสมอก็ตาม

ความรู้สึกผิด เป็นผลผลิตเพียงเล็กน้อย หากเทียบกับความผิดบาปที่ผมเคยก่อขึ้น ไม่มีความรู้สึกผิดแบบไหนที่จะแก้ตัวแทนการกระทำของเราได้ นอกจากใครคนนั้นจะหลอกตัวเอง (ซึ่งผมเชื่อว่าไม่มีใครหลอกตัวเองได้อย่างถาวร เราต่างหลอกตัวเองได้ก็ต่อเมื่อมีใครสักคนที่ไม่ใช่ตัวเรายังคงเชื่อถือสิ่งที่เราพูดอยู่) แต่แม้ผมจะรังเกียจความผิดบาปมากพอกับการเกลียดชังหลายสิ่งหลายอย่างในตัวเอง แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าพวกมันได้ทำให้ผมก้าวผ่านความไร้เดียงสาของชีวิตมาได้อย่างหนักแน่น

บาปของผมนับวันยิ่งจะอ้วนพีขึ้นตามเลขอายุ แน่นอนว่าผมยังคงห่างไกลจากคำว่าผู้ร้าย แต่ในอนาคตผมไม่รู้เลยว่าชีวิตจะพาผมไปสู่หลักไมล์ไหนของความผิดพลาด การแก้ตัว การกระทำในสิ่งที่ดีขึ้น นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมพยายามจะทำอยู่เสมอ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรให้ดีขึ้นนักหรอก เพราะในการกระทำที่ดี หลายครั้งก็มักจะมีวาระซ่อนเร้นของความผิดแทรกซึมอยู่เสมอ ในนามของความถูกต้องที่เรายืนหยัดก็ประหัตประหารแนวคิดของฝ่ายตรงข้ามลงไปในตัว

บางทีคำรักที่เอาไว้หลอกผู้หญิงเช่นว่า "คุณทำให้ผมอยากเป็นคนที่ดีขึ้น" อาจจะไม่ใช่คำพูดเล่นๆ เสียแล้ว เพราะเพียงลำพังตัวเราเองคงไม่มีความสามารถมากพอจะถีบส่งจิตใจให้สูงกว่าเดิมได้

ในทุกการกระทำบาป ผมมักจะรู้สึกถึงการมีอยู่ของพระเจ้าเสมอ พระเจ้าที่ไมได้สังกัดอยู่ในศานาไหนบนโลก พระเจ้าที่สูงส่งเกินกว่าความรู้สึกผิด-ถูก พระเจ้ามักจะปรากฎตัวอยู่ไม่ไกลจากตัวผมนัก และท่านก็มองมายังการกระทำของผมด้วยสายตาที่ไม่ตัดสินอะไรทั้งนั้น ท่านอยู่นอกเหนือการตัดสินใดๆ ทั้งปวง

ประหนึ่งว่าพระเจ้าที่ผมเห็นนั้นยืนอยู่ข้างการกระทำผิดของผม แต่ท่านก็ไม่ได้เข้าข้างผม
หลายครั้งที่ผมสบตากับพระเจ้า ขณะที่มือไม้กำลังห้ำหั่นกับความถูกต้อง
นาทีนั้นผมรู้สึกเข้าใจตัวเองมากขึ้น เข้าใจผู้คนมากขึ้น เข้าใจโลกใบนี้มากขึ้น แต่ความรู้สึกนี้มันจะเกิดขึ้นเมื่อยามที่ผมยังมองเห็นพระเจ้าอยู่เท่านั้น

เมื่อท่านจากไปแล้ว ทุกอย่างในความรู้สึกของผมก็ยังคงหมุนเวียนอยู่เช่นเดิม


jeeno บอกเล่า

4 Comments:

  • At 11:09 PM, Blogger the aesthetics of loneliness said…

    ในหนังสือ สนทนากับพระเจ้า บอกว่ามนุษย์คือส่วนหนึ่งของพระเจ้า หรือถ้ามองแบบวิทยาศาสตร์หน่อย ก็ต้องบอกว่า ถ้าพระเจ้าคือธรรมชาติ มนุษย์ก็คือส่วนหนึ่งของธรรมชาตินั่นแหละ ในธรรมชาตินั้นมีทุกอย่าง เพราะธรรมชาติคือทุกอย่าง ดังนั้น ธรรมชาติจึงไม่สามารถตระหนักรู้ตนเอง เพราะการตระหนักรู้ตัวเอง ต้องอาศัยสิ่งอื่นมามอง เพื่อเปรียบเทียบและให้คุณค่า ดังนั้น ธรรมชาติจึงต้องสร้างตัวเองออกมาเป็นรูปธรรม เป็นจักรวาล เป็นโลก เป็นภูเขา ต้นไม้ สัตว์ป่า และมนุษย์ เป็นมีความดี ความเลว ความงาม ความอัปลักษณ์ ฯลฯ ชิ้นส่วนต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา และกระจัดกระจายไปทั่วนั้น จะมามองดูกัน เปรียบเทียบกัน และให้คุณค่ากัน เพื่อให้ทุกส่วนได้ตระหนักรู้ถึงตัวเอง แล้วในที่สุด ทุกส่วนก็รวมกัน กลับไปเป็นธรรมชาติอีกครั้ง (งงหรือยังวะเนี่ยะ??)

    ประเด็นคือจะบอกว่า จีกำลังตระหนักรู้ความเลว ความบาปของตนเอง ก็เพราะมีความดีและบุญกุศลมาคอยเปรียบเทียบ มาถึงจุดนี้ ธรรมชาติ (หรือพระเจ้า) ไม่ได้กำหนด ว่าจีจะต้องเลวและบาปตลอดไป แต่จี-ในฐานะผู้ที่ตระหนักรู้ถึงความจริงตามธรรมชาตินี้แล้ว ก็จะต้องตัดสินใจเลือกเอง ว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปในทางไหน

     
  • At 1:02 PM, Anonymous Anonymous said…

    ตกลงทำเรื่องผิดบาปอะไรมาเหรอ

     
  • At 11:34 AM, Anonymous Anonymous said…

    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
    แต่เป็นคนดีมักไม่มีใคร

    นี่พูดจริงน่ะ

     
  • At 8:14 PM, Blogger gmplusclub said…

    โห นี่ไปอัดอั้นอะไรมาหนอ
    พูดถงเรื่องความผิด ผมนักนึกถึงคำพูดของหม่อมคึกฤทธิเสมอๆ ท่านเคยบอกว่า ความทุกข์เป็นของคู่กับมนุษย์ ความสุขเป็นรางวัลที่จะรอสบตาที่มุมไหนมุมหนึ่งของชีวิต
    ไม่รุ้ว่าจะเปรียบเปรยได้กับความดีหรือเรื่องเรื่องบาปได้หรือเปบ่า
    ผมว่าคงไม่แตกต่างกันมั้ง
    หรือว่าไง?

     

Post a Comment

<< Home