THE KULTURES

Culture / Tech / Talks /

Tuesday, November 14, 2006

10%




เมื่อวานนี้ผมใช้เงิน 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนเดือนนี้ซื้อดีวีดีครับ อย่าเดาเลยว่าสิบเปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนผมมันเท่าไหร่ บอกได้เพียงว่าผมได้หนังมาไม่กี่เรื่อง แต่ก็เพียงพอที่จะดูจนถึงสิ้นเดือน

เรื่อง 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน ผมได้ยินครั้งแรกตอนที่ไปสัมภาษณ์ผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่ชอบเที่ยวอาบ อบ นวดเป็นชีวิตจิตใจ พวกเขาเป็นผู้ชายที่มีงานการที่ดี มีครอบครัว มีภรรยา บางรายก็มีลูกแล้ว แถมลูกก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวด้วยซ้ำ บางคนเป็นถึงข้าราชการระดับสูง หนุ่มๆ กลุ่มนี้เจอกันที่ผ่านเว็บไซต์แห่งหนึ่งซึ่งพูดคุยกันเรื่องคนติดอ่าง ต่อมาจึงสถาปนาตัวเองเป็นกลุ่มผู้ชายที่รักการอาบน้ำอุ่นนอกบ้าน วันนั้นผมได้ฟังประสบการณ์สนุกๆ จากกูรู 4-5 ท่านนี้ พร้อมทั้งได้ข้อคิดบางแง่

คุณลุงคนหนึ่งบอกว่าแกใช้ 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนเป็นค่าใช้จ่ายในการเที่ยวอ่าง แกยอมรับกับภรรยาตรงๆ ว่าไม่เคยนอกใจเมียตลอด 20 ปีที่แต่งงานกัน แต่ขอนอกกายบ้าง แรกๆ ภรรยาก็ไม่เข้าใจ เดินหน้าตามล้างตามล่าจนเป็นเรื่องครอบครัวแทบพัง ! แต่ในที่สุดแกก็พิสูจน์ให้เห็นว่า การเที่ยวอ่างไม่ทำให้ครอบครัวเดือนร้อน คุณลุงโลกียะชนคนนี้ อธิบายและปฏิบัติต่อภรรยาบังเกิดเกล้าด้วยความสัจจริง และที่สำคัญแกบริหารเงินทุกบาททุกสตางค์ที่หามาได้ทำให้ครอบครัวมีฐานะที่มั่นคง แต่แกขอแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นสำหรับเป็นค่าใช่จ่ายในการอาบน้ำ

แต่ก็นั่นแหล่ะครับ 10 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน บางคนก็มากมายมหาศาลทำงานเดือนเดียวก็เท่ากับเราทำทั้งปีหรือทั้งชาติ สำหรับคนที่มีรายได้เดือนละ 1 ล้านบาท 10 เปอร์เซ็นต์ของเขาก็คือ 1 แสน หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ของคนที่รายรับเดือนละ 1 แสนบาทก็คือ 1 หมื่น ลดลงมาหน่อย 10 เปอร์เซ็นต์ของคนที่รายได้ 1 หมื่นบาทก็คือ 1 พัน

มีคำพูดหนึ่งของคุณลุงนักเที่ยวท่านนั้นที่ยังฝังอยู่ในหัวผมก็คิือ
“ของอย่างนี้ลูกผู้ชายก็ต้องมีกันบ้าง”

แต่ผมก็ยังคาแคลงใจในเรื่องศีลธรรมว่าภรรยาที่นอนรอสามีที่ไปเที่ยวอาบอบนวดตลอด 10 ปี 20 ปีเป็นอย่างไร บางทีน้ำตาของเธออาจพัฒนาไปเป็นต้อหิน จะว่าไปเมื่อมาคิดดูแล้วมนุษย์เกิดมาล้วนมี Exit ด้วยกันทั้งนั้น ต้องมีทางใดสักทางหนึ่งที่เงินของเราต้องไหลไปแลกไปกับอะไรที่ชอบ อะไรที่ทำแล้วมีความสุข และเราสละเพื่อตอบสนองจริตนั้น บางคนอาจชอบเดินทางท่องเที่ยว บางคนสะสมกล้อง บางคนชอบเสื้อผ้าหรูหราเครื่องสำอางค์ชั้นดี บางคนเช่าพระ บางคนบ้ารองเท้าผ้าใบ ผมคิดว่าเราหนีกันไม่พ้นสำหรับเรื่องทำนองนี้ แต่เราจะบริหารความซอบที่แลกกับรายได้อย่างไรให้ไม่เจ็บตัวนั่นละประเด็น

ผมเองก็เพิ่งรู้สึกตัวจากการใช้เงินแบบไม่รู้จักออมก็เมื่อ 3-4 เดือนที่ผ่าน ผมพบว่าในรอบ 1 ปีแรกที่ผมทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน ผมใช้เงินอย่างคนไร้อนาคต ได้มาซื้อไป ได้มาใช้ไป ทำอะไรตามใจตัวเองจนบางเดือนต้องกินมาม่่าตั้งแต่วันที่ 15 16 ผมไม่เคยมีเงินเก็บ ซ้ำยังกระแทกกระเป๋าสตางค์อยู่เรื่อยๆ ที่ผ่านมาการใช้เงินอย่างไม่วางแผนของผมจึงเป็นตราบาป เพราะถ้าผมรู้จักเก็บเงินสักหน่อยป่านนี้ผมก็คงมีเครื่องเสียงดีๆ ราคาสองสามหมื่นฟัง หรือชุดโฮมเธียร์ขนาดย่อมๆ ไว้ดูหนังให้กระฮึ่มไปแล้ว
แต่ “ของอย่างนี้ (การใช้เงินอย่างไม่เลียวหลังแลหน้า)ลูกผู้ชายก็ต้องมีกันบ้าง”

ต่อมาพอผมเริ่มออม เริ่มชักหน้าถึงหลัง บวกกับมีงานเล็กๆ น้อยๆ เข้ามาพอให้มีเงินจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ เหลือจากส่วนที่ส่งให้ที่บ้านแล้ว ผมก็วางแผนว่าแต่ละวันใช้เท่าไหร่ดี จะซื้ออะไรวันไหนของเดือน เริ่มหายใจไปพร้อมกับเงินที่หาได้ แรกๆ ก็แทบลงแดง เพราะผมหักดิบ เอาแต่ดูหนังรอบสื่อฯ ไม่ได้ดีวีดีเลย จนผมคิดว่าชีวิตมันขาดหายอะไรไปบางอย่าง เมื่อเรามีต้องเก็บ เหลือจากเก็บก็เอาไปใช้ในสิ่งชอบๆ ผมก็เลยเอาไปอาบ อบ นวด ! ไม่ช่ายยยย

ผมก็เลยเอา 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนไปกระจายเป็นซีดีเพลงสักแผ่นสองแผ่นที่ต้องเก็บ ตลอดจนดีวีดีเรื่องที่ดูแล้วเกิดความคึกคักทางสติปัญญาและอารมณ์-อันหลังนี่อาจหมายถึงหนังแนวนอน ไม่ช่ายยยย เล่นมากไปจะเฝือได้มุกนี้ ฮิฮิ

ถึงตอนนี้ผมก็กำลังสนุกกับเรื่องบริหารจัดการเรื่องแบบนี้ในชีวิตครับ แม้บางเดือนผมอาจจะซื้อได้ไม่ถึงเป้าที่วางไว้ แต่ก็ยังดีที่เราทำอะไรไม่เวอร์ไปกว่ารายได้ ผมคิดว่าจะคงคอนเซ็ปต์ 10 เปอร์เซ็นต์นี้ไปเรื่อยๆ ครับ เพราะตอนนี้มันไม่กระทบกับชีิวิตด้านอื่น แต่ถ้ารายได้ไม่อำนวยและตกงาน ผมก็คงต้องหยุดและกลับไปลงแดงอีกครั้งหนึ่ง เหมือนลุงคนนั้นที่ไม่ได้ไปรัชดา ใช่ ! มันอาจจะเป็นการยึดติดแต่ถ้าไม่มีอะไรยึดผมก็เคว้งเพราะหนังสำหรับผมมันได้ทำหน้าที่คล้ายศาสนาไปแล้ว - เวอร์

เอาน่า….ถึงผมไม่ได้เห็นด้วยกับการที่พ่อบ้านย่องไปเที่ยวพระรามเก้าตอนดึกๆ แต่ผมก็เริ่มเข้าใจว่าคนเราควรจะหาความสุขให้กับชีวิตบ้าง หากได้ทำหน้าที่ที่รับผิดชอบของตัวเองดีพอ

แล้วคุณละครับใช้ 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนไปทำอะไร ?

Posted by buiberry

3 Comments:

  • At 12:39 AM, Blogger the aesthetics of loneliness said…

    ถ้า 10% ที่เอาไปซื้อแผ่นซีดีและดีวีดี ไม่จบอยู่ที่การนอนดูนอนฟังอย่างเลื่อนลอย แต่ถ้าเราสามารถเอามาสร้างสรรค์ต่อ เช่นให้มันกลายเป็นบทความวิจารณ์หนังและเพลง หรือให้มันกลายเป็นบทเพลงหรือหนังสั้นขึ้นมา

    10% นี้คงมีค่าต่อตนเอง และต่อโลกมากๆ มันไม่ใช่เพียงแค่ exit แบบบริโภคนิยม และไม่ใช่เพียงแค่การปล่อยน้ำออกจากตัวเท่านั้น

     
  • At 10:08 PM, Anonymous Anonymous said…

    จาก สวยนอกซอย

    เอา 10 เปอร์เซ็นต์นี้โทรหาผู้ชายกับไปนอนนวดที่เฮลท์แลนด์เพราะเครียดและนอนไม่หลับ

    มานึก ๆดูแล้วนะเราว่าคุณพี่หมอนวดที่เฮลทแลนด์ (นวดแผนโบราณนะจ๊ะ) คุณค่าของพวกเธอ ๆคู่ควรกับเงินจำนวนนี้ของเรามากกว่าพวกแรกเสียอีก!

     
  • At 1:00 AM, Anonymous Anonymous said…

    ขอบคุณมากเลยนะครับ สำหรับบทความ

     

Post a Comment

<< Home