THE KULTURES

Culture / Tech / Talks /

Tuesday, November 28, 2006

เชียงรายไม่ได้มีแต่วัดร่องขุ่น

ที่นี่ มีศิลปินคนหนึ่งที่ไม่ได้ทำงานแนวประเพณีนิยม เขาชื่ออังกฤษ อัจฉริยโสภณ


1.หน้าบ้านศิลปิน



2.หมาของศิลปิน



3.สวนของศิลปิน












4.บ้านกับสวนในโครงการใหม่ Coming soon ของศิลปิน











5.ร้านที่ขายปาท่องโก๋ซึ่งศิลปินใช้รับแขก







6.วัด(มิ่งเมือง)ที่ศิลปินแนะนำ




7.วัดที่ศิลปินแนะนำ (2)











8.ร้านบะหมี่ที่ศิลปินไม่ชอบ













9.ร้านเกาเหลาของศิลปิน
(เอ๊ะ ลืมถ่าย)

10.ครอบครัวของศิลปิน
(อันนี้ก็สำคัญเหมือนกัน)




11.ระหว่างทางกลับจากบ้านศิลปิน

StrangeR on tour: เชียงใหม่16-18 พ.ย.49





1.Here in Chaingmai
น้องคนนี้เพิ่งเลิกเรียน ในวันศุกร์ เด็กๆ ในเชียงใหม่จะใส่เครื่องแบบ (ล้านนา?) แบบนี้ น่ารักๆ ตอน 5 โมงเย็นนี่ในเมืองเชียงใหม่รถเยอะชะมัด มอร์เตอร์ไซค์ว่อนไปหมด









2.Montri Hotel
นี่เป็นแถวประตูท่าแพยามเย็น วันนี้ยังไม่มีถนนคนเดิน ที่จริงถ่ายรูปนี้มาฝากบุ๊ยโดยเฉพาะ (โปรดสังเกตมุมขวาบน)



3.don't TOUCH, don't SMELL
มางานพืชสวนโลกกับเขาด้วย แต่ถ่ายรูปมาแค่รูปเดียว (ก็คือรูปนี้แหละ) คือเราบอกตัวเองว่าไม่รู้จะถ่ายรูปดอกไม้ทำไม เพราะรูปที่มีคนถ่ายดอกไม้พันธุ์ต่างๆ ไว้แล้วคงสวยกว่ามาก
พยายามจะดมกลิ่นดอกไม้ แต่มีป้ายเขียนไว้ว่า "ห้ามดม"
Shit, man!







4.a bench (again?!!)
นี่ถ่ายที่กาดฝรั่ง (ซึ่งจะนำมาเขียนรายละเอียดในคอลัมน์ Metro Inside) ที่จริงที่นั่นมีอะไรให้ถ่ายรูปมากกว่านี้ แต่ไม่รู้เป็นโรคอะไรชอบถ่ายเก้าอี้ นี่ตอนเย็นๆ แต่แดดเชียงใหม่ก็ยังแรงเอามากๆ
มาเชียงใหม่คราวนี้นอกจากจะดูรอบๆ (แน่นอน-หลังจากที่ทำงานเสร็จแล้วนะ) ตามธรรมเนียม (รวมทั้งเห่อตามเขาไปดูพืชสวนโลก) แล้ว ยังบังเอิญเจอะเขากำลังจัดงาน indy book fair ที่หอศิลป์เชียงใหม่ด้วย เราเจอ คุณคมสัน นัน ที่สนามบินตอนมาถึงเขาเลยบอกว่ามีงานนี้พอดี แถมที่ถนนคนเดินกำลังมีงานศิลปะแสดงสด Asiatopia ที่จัดเป็นครั้งแรกที่เชียงใหม่ด้วย คนดูเพียบเลย ได้เจอ พี่เลน ที่มาเปิดตัวหนังสือใหม่ของพี่เขากับสำนักพิมพ์ชมรมคนรักป่าที่นี่ด้วย ชื่อ "แผ่นดิน-เมืองใหม่" อะไรนี่ล่ะ



5.What vacation is.
เจอะร้านอาหารนี้ที่ถนนลอยเคราะห์ ตอนมืดๆ


6.Ji-Qoo
ได้เคยมาด้อมๆ มองๆ ตอนที่แกลเลอรี่ Ji-Qoo นี้เพิ่งเปิดเมื่อราวต้นปีที่ผ่านมา มาคราวนี้ก็มาดูอีก คราวนี้เจอ คุณซาโตรุ ซึ่งเป็นเจ้าของแกลเลอรี่ด้วย เอ่อ จริงๆ เขาก็มีอะไรให้ดูมากกว่าภาพนี้อีกนั่นแหละ แต่เราชอบมุมนี้ก็เลยถ่ายมาแบบนี้










****ส่วนที่เป็นรายละเอียดอื่นๆ (ที่ดูเป็นการเป็นงานหน่อย) โปรดอ่านในจีเอ็มพลัสเล่ม 1 มกราคมนี้******

Friday, November 24, 2006

ที่ของฉัน...



สวัสดีค่ะ...

หายหน้าหายตาไปนาน เพราะง่วนอยู่กับงานอีกแล้ว
ทำงานแป๊ปๆ ก็ใกล้จะสิ้นปีอีกแล้ว
เวลาช่างผ่านไปรวดเร็ว
นับไปนับมาก็ปาเข้าไปปีที่ 6 แล้ว
ที่จากบ้านนา...มาสู่เมืองฟ้าอมร
นานโขอยู่เหมือนกัน
ถึงแม้มันจะผ่านมานานแล้ว
แต่ความรู้สึกยังไม่ได้เปลี่ยนไปจากวันแรกที่มาถึงมากนัก
ทุกอย่างที่มองไปรอบๆตัว
มันยิ่งตอกย้ำตัวตนว่าเราไม่ได้เกิดจากที่นี่
ไม่รู้ทำไม ในใจมันยังคิดอยู่ตลอด
แต่มันก็ไม่ได้บั่นทอนความสุขของดิชั้นไปเลย

เหตุการณ์หลายๆอย่างในเมืองกรุงแห่งนี้
มันทำให้ดิชั้นยังรู้สึกรักและภูมิใจ
ในความเป็นสาวบ้านนาอยู่เสมอ
เพราะหลายต่อหลายครั้งที่พูดคุยกับชาวกรุง
ถึงเรื่องราวของบ้านนอก รู้สึกพวกเขาตื่นเต้นและสนใจ
ที่พวกเขาไม่ได้มีโอกาสที่จะไปเห็น
ผิดกับดิชั้นที่ได้เห็นสิ่งเหล่านั้นมาจนชินชาแล้ว
เขาคงต้องอิจฉาดิชั้นแน่ๆ ที่เคยได้กระโดดเล่นบนกองฟาง
เก็บปูนาหรือว่าตะลุยหาปลาในน้ำก็เคยมาหมดแล้ว
เมื่อนึกถึงแต่ละครั้งดิชั้นก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้

แต่มาในวันนี้ ตัวของดิชั้นที่เคยวิ่งเล่นอยู่ตามท้องนากับเพื่อนๆ
รองเท้าที่เคยฝากไว้บนโคลนแถวบ้าน
มันได้เปลี่ยนที่มาอยู่บนพื้นหินอ่อนของสยามพารากอน
มันช่างแตกต่างได้อะไรขนาดนั้น
ชีวิตที่ไม่เคยคิดฝันว่ามันจะเดินมาทางนี้
น่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน...

บ่อยครั้งที่ดิชั้นเดินผ่าน Hermes
และยืนจ้องกระเป๋าหนังจระเข้ใบสวย
ได้แต่คิดว่ากระเป๋าใบนี้มันราคาเท่ากับ
บ้านทั้งหลังแถมเฟอร์นิเจอร์
ของเพื่อนดิชั้นบางคนที่บ้านนอก
คิดดูแล้วมันช่างน่าตลกซะจริง

มาถึงวันนี้ดิชั้นเริ่มรู้สึกเหนื่อยยังไงก็ไม่รู้
อาจจะเป็นเพราะเรื่องราวมากมาย
ที่ทำให้นางฟ้าอย่างดิชั้นต้องพบเจออยู่เสมอ
มันอาจจะค่อยๆเก็บสะสมมาเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ตัว
วันนึงมันก็เลยกลายเป็นความเหนื่อยล้าก้อนใหญ่
จนบางที่ดิชั้นคิดว่าการกลับไปยืนที่จุดเดิม
ที่เคยอยู่แบบเมื่อก่อนก็อาจจะดีก็ได้
อาจจะไม่ต้องผจญสิ่งเลวร้ายมากเท่าทุกวันนี้

คิดถึงบ้านค่ะ

นางฟ้า...มหาประลัย

ป.ล. แค่ห้วงอารมณ์หนึ่งเท่านั้นเองค่ะ
ถ้าหายแล้วนางฟ้าก็ต้องออกปฏิบัติการตามล่าผู้ชายเหมือนเดิม

Thursday, November 23, 2006

พระเจ้ายืนอยู่ข้างการกระทำผิดของเรา

ผมเคยตั้งคำถามหนักๆ เกี่ยวกับการกระทำผิดของตัวเองอยู่เสมอ

เมื่อตอนอายุ 20 ต้นๆ ในช่วงชีวิตที่ความผิดบาปยังดูเป็นของแปลกหน้า ผมรู้สึกราวกับว่าความผิดพลาดในชีวิตถึงขั้นที่จะฝังรากลึกลงในจิตใจนั้น ยังเป็นเรื่องห่างไกลมาก มากราวกับว่ามันอาจจะไม่มีทางเกิดขึ้นกับตัวเองเลยก็ได้ในชาตินี้

แต่เวลาผ่านไปอย่างเพลิดเพลิน ความสุข ประสบการณ์ชีวิตที่ดีๆ ก็เติบโตขึ้น จากความพยายามที่ผมจะใช้ชีวิตให้เป็นคนดีคนหนึ่งในสังคม ขณะเดียวกันนั้นมันก็พาตัวผมมาสู่เส้นทางของคนบาปโดยไม่รู้ตัว

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ผมเข้าไปพัวพันกับสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความผิดในระดับที่เข้มข้นต่างกันไป และบางเหตุการณ์ก็เข้มข้นมากเสียจนผมไม่รู้ว่าจะหาน้ำตาที่ไหนมาชดใช้ ความผิดบาปที่เกี่ยวโยงกับผู้คนในชีวิตและชักใยเข้าสู่จิตใจของผมเองในที่สุด บางทีความผิดบาปเหล่านี้อาจจะเป็นตัวสะท้อนคำว่า "เราไม่ได้อยู่เพียงลำพังในโลก" ได้ดีกว่าหนังของคนขี้เหงาเสียอีก

วินาทีที่ผมอยู่ในวงล้อมของการกระทำบาป ผมมีโอกาสเพียงครั้งเดียวที่จะเลือกตัดสินใจ เป็นโอกาสที่คล้ายกับแสงเพียงวูบเดียวที่สาดส่องสู่นัยน์ตา และโอกาสที่ว่าก็มักจะหลุดลอยไปเสมอในยามที่เราต้องการมัน ข้อสังเกตเกี่ยวกับความผิดบาปก็คือมันมักจะไม่ได้ตีตราตัวเราว่าเป็นคนชั่ว คนเลว หรือฆาตกรใจโหด แต่บาปของคนส่วนใหญ่คือการแกะสลักความบกพร่องของชีวิตลงไปในความทรงจำของเรา เรายังเป็นคนปกติใช้ชีวิตอยู่ในสังคม เสียภาษี ประกอบอาชีพได้ตามวิถี แต่ในรายละเอียดของการก่อสร้างตัวเอง ผมไม่แน่ใจนักว่าตัวผมมีส่วนผสมที่ดีเหลืออยู่แค่ไหน ไม่มีสักวันที่ผมจะตื่นขึ้นมาแล้วลืมความผิดพลาดที่เคยก่อขึ้น แม้ผมจะเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ขยันให้อภัยตัวเองอย่างสม่ำเสมอก็ตาม

ความรู้สึกผิด เป็นผลผลิตเพียงเล็กน้อย หากเทียบกับความผิดบาปที่ผมเคยก่อขึ้น ไม่มีความรู้สึกผิดแบบไหนที่จะแก้ตัวแทนการกระทำของเราได้ นอกจากใครคนนั้นจะหลอกตัวเอง (ซึ่งผมเชื่อว่าไม่มีใครหลอกตัวเองได้อย่างถาวร เราต่างหลอกตัวเองได้ก็ต่อเมื่อมีใครสักคนที่ไม่ใช่ตัวเรายังคงเชื่อถือสิ่งที่เราพูดอยู่) แต่แม้ผมจะรังเกียจความผิดบาปมากพอกับการเกลียดชังหลายสิ่งหลายอย่างในตัวเอง แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าพวกมันได้ทำให้ผมก้าวผ่านความไร้เดียงสาของชีวิตมาได้อย่างหนักแน่น

บาปของผมนับวันยิ่งจะอ้วนพีขึ้นตามเลขอายุ แน่นอนว่าผมยังคงห่างไกลจากคำว่าผู้ร้าย แต่ในอนาคตผมไม่รู้เลยว่าชีวิตจะพาผมไปสู่หลักไมล์ไหนของความผิดพลาด การแก้ตัว การกระทำในสิ่งที่ดีขึ้น นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมพยายามจะทำอยู่เสมอ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรให้ดีขึ้นนักหรอก เพราะในการกระทำที่ดี หลายครั้งก็มักจะมีวาระซ่อนเร้นของความผิดแทรกซึมอยู่เสมอ ในนามของความถูกต้องที่เรายืนหยัดก็ประหัตประหารแนวคิดของฝ่ายตรงข้ามลงไปในตัว

บางทีคำรักที่เอาไว้หลอกผู้หญิงเช่นว่า "คุณทำให้ผมอยากเป็นคนที่ดีขึ้น" อาจจะไม่ใช่คำพูดเล่นๆ เสียแล้ว เพราะเพียงลำพังตัวเราเองคงไม่มีความสามารถมากพอจะถีบส่งจิตใจให้สูงกว่าเดิมได้

ในทุกการกระทำบาป ผมมักจะรู้สึกถึงการมีอยู่ของพระเจ้าเสมอ พระเจ้าที่ไมได้สังกัดอยู่ในศานาไหนบนโลก พระเจ้าที่สูงส่งเกินกว่าความรู้สึกผิด-ถูก พระเจ้ามักจะปรากฎตัวอยู่ไม่ไกลจากตัวผมนัก และท่านก็มองมายังการกระทำของผมด้วยสายตาที่ไม่ตัดสินอะไรทั้งนั้น ท่านอยู่นอกเหนือการตัดสินใดๆ ทั้งปวง

ประหนึ่งว่าพระเจ้าที่ผมเห็นนั้นยืนอยู่ข้างการกระทำผิดของผม แต่ท่านก็ไม่ได้เข้าข้างผม
หลายครั้งที่ผมสบตากับพระเจ้า ขณะที่มือไม้กำลังห้ำหั่นกับความถูกต้อง
นาทีนั้นผมรู้สึกเข้าใจตัวเองมากขึ้น เข้าใจผู้คนมากขึ้น เข้าใจโลกใบนี้มากขึ้น แต่ความรู้สึกนี้มันจะเกิดขึ้นเมื่อยามที่ผมยังมองเห็นพระเจ้าอยู่เท่านั้น

เมื่อท่านจากไปแล้ว ทุกอย่างในความรู้สึกของผมก็ยังคงหมุนเวียนอยู่เช่นเดิม


jeeno บอกเล่า

Monday, November 20, 2006

a space




a space เป็นคอนโดมิเนียมขนาดเล็ก ราคาเริ่มต้นที่ 1 ล้านบาท ครบครันด้วยเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งและของใช้ในชีวิตประจำวัน (Fully Furnished) อาทิ โซฟา ตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงาน โต๊ะทานอาหาร เก้าอี้ ตู้รองเท้า เตียงนอน ผ้าม่าน ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม หมอน แก้วน้ำ จานชาม ช้อนส้อม รองเท้าแตะ ร่ม กล่องใส่ทิชชู และแม้แต่ แปรงสีฟัน ฯลฯ

นี่เป็นข้อความโฆษณาในเว็บไซต์นี้ของ a space ที่จบลงด้วยประโยคที่บอกว่า
“แค่นี้ … ชีวิตคุณก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว”

ผมนั่งดูโฆษณาทีวีของ a space อยู่ชิ้นหนึ่งเป็นเรืิ่องของอาตี๋ในครอบครัวคนจีน แกบอกลาคนในครอบครัวอาแป๊ะ อาม่า อาอี๊ อาเจ๊ อาเฮีย อาโก อาหมวย และสมาชิกคนต่างๆ ที่ยืนจับกลุ่มอยู่ที่โต๊ะกินข้าว อาตี๋คนนี้เดินออกมาด้วยกระเป๋าขนาดจิ๋วที่เกี่ยวแค่นิ้วมือได้ เพื่อมาอยู่ a space

ตามคอนเซ็ปต์ของคอนโดเจ้านี้ที่บอกว่า
“มาแค่ตัวก็มาเริ่มชีวิตใหม่ได้ที่ a space”

เห็นอะไรไหมครับ… ? ว่าคนในสังคมเราตอนนี้กำลังแยกตัวออกมาจากครอบครัวเพื่อมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ในห้องที่กว้างยาวไม่กี่ตารางเมตร แต่เต็มไปด้วยสิ่งที่สำเร็จรูป ผมไม่มีความรู้ทางสังคมวิทยามากพอที่จะอธิบายปรากฏการณ์แบบนี้ แต่พอเดาได้ว่าคนที่อยู่ใน a space ก็คงไม่ต่างจากคนที่อยู่ใน apartment อย่างผมที่อยู่ตอนนี้

คุณวุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ เคยเขียนบทความชิ้นหนึ่งในคอลัมน์ “ดูหนังคนเดียว” ผมจำได้ว่าเขาเขียนถึงหนังเรื่อง Chungking Express (1994) ของหว่อง คาร์ ไว ที่ตัวละคร(663 - เหลียงเฉาเหว่ย) อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นต์คนเดียว แล้วต้องทนเดียวดายในคืนวันของความเหงาที่กัดกิน

บทความชิ้นนั้นเขียนไว้น่าสนใจทำนองว่า (ถ้าพี่อ๋องมาอ่านแล้วผมเขียนผิดก็ขออภัยครับ)

Apartment = Apart + ment
Apart = การที่ของสองสิ่งแยกขาดออกจากกัน
Ment = ถ้าคำนี้มาจากคำว่า Moment ก็
หมายความว่าชั่วขณะแต่ผมคิดว่าใน
บริบทนี้มันน่าจะหมายถึงความรู้สึกมากกว่่า

ดูความหมายของคำว่า “Apartment” แล้วมันก็คงหมายถึงสถานที่ที่ทำให้เราแยกขาดจากสังคม เพื่อมามีชีวิตที่เป็นส่วนตัวอยู่คนเดียวที่นี่ จะมีความสุขหรือไหมผมก็ไม่รู้ เพราะคนเหล่านั้นจะมีความสุขจริงๆ หรือไม่ ผมก็ไม่รู้ ความสุขของแต่ละคนก็นิยามต่างกัน

น่าแปลกนะครับที่การตลาดสมัยนี้ มันสามารถขับดัน สร้างไลฟ์สไตล์การบริโภค ให้คนเราเดินทางออกมาจากสิ่งที่ที่เคยเต็มอย่างครอบครัว มาอยู่คนเดียว มาใช้ชีวิตแบบตัวใครตัวมันแบบไม่สนใจใยดีอะไรได้

ไม่เพียงแค่นั้นรถยนต์ที่ออกมาเปิดตัวช่วงนี้ก็ต่างเป็นรถซิตี้คาร์ (City Car ) ขนาดเล็ก กระทัดรัด นั่งได้จริงๆ เพียงไม่กี่ที่นั่ง ด้วยคุณสมบัติของความเป็นรถเมืองที่ต้องสะดวกคล่องตัว จอดง่าย แซงง่าย หรือเครื่องฟังเพลงอย่าง iPod ก็ออกแบบมาให้เราฟังได้คนเดียวจากหูฟังเฮดโฟนเสมือนอยู่ในโลกส่วนตัว

ผมคิดว่าคนจำนวนหนึ่งที่อยู่ใน a space ก็ต้องมีรถยนต์ลักษณะนี้ใช้ มีไอพอดฟัง นั่นจึงดูเหมือนว่า space ในสินค้าหรือบริการต่างๆ ถูกย่อส่วนให้เล็กลงเพื่อสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนที่เติบโตขึ้น เมื่อคนเราอยากมีบ้าน มีรถ มีอภิสิทธิ์ในการครอบครองอะไรสักอย่าง

ต่อไปเราก็จะเห็นภาพสมาชิกในครอบครัว เมื่อโตขึ้นแต่ละคนมีงานทำ มีเงินเดือนที่พอจะจ่ายให้ไฟล์สไตล์แบบนี้ได้ เชื่อว่าลูกแต่ละคนก็จะแยกกันไปอยู่คอนโดมีเนียมของตัวเอง มีรถซิตี้คาร์คันเล็กๆ ขับกันคนละคันอย่างเชิดหน้าชูตา แล้วกลับมาบ้าน (หลังใหม่) ของพ่อแม่ในวันเสาร์อาทิตย์ หรือนัดเจอกันตามห้างสรรพค้าตามร้านสุกี้เอ็มเค เพื่อคงภาพของความเป็นครอบครัวด้วยการกินข้าวด้วยกัน

เป็นไปได้ไหมว่าเมื่อทุกอย่าง(บ้าน-รถ) ถูกย่อส่วนให้เล็กลง ให้คนเป็นเจ้าของอะไรได้ง่ายขึ้น นั่นทำให้คนเมืองเป็นปัจเจกอย่างเต็มขั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ช่องว่างทางสังคมของคนก็จะขยายตัวใหญ่ขึ้น ทำให้คนเราห่างกันไปเรื่อยๆ สภาวะแบบนี้จะส่งผลให้คนเมืองล่องลอยและเคว้งคว้างกันมากขึ้นได้ เช่น บางวันเราอาจอยู่ใน a space โดยไม่รู้ว่าจะทำอะไร หรือขับ aveo ออกไปข้างนอกโดยไร้จุดหมายที่แน่นอน

เพราะยัง “รู้สึกเหงา” และ “รู้สึกว่าขาด”

Thursday, November 16, 2006

ว่าด้วยเรื่อง คำหล่อๆ (แรงบันดาลใจจาก The Aesthetics of Loneliness )

ผมหายหน้าทางตัวหนังสือจากบล็อกนี้ไปร่วมสองอาทิตย์ เพราะไม่รู้ว่าจะนำหัวข้ออะไรที่น่าสนใจ หรือแค่ที่ตัวเองสนใจมาเขียน ทำให้ตอนนี้ผมนับถือคนที่มีบล็อกของตัวเอง และขยันอัปเดตมันทุกวันมากๆ ว่าช่างมีความตั้งใจเป็นเลิศ เอาล่ะ เข้าเรื่องดีกว่า

ขณะที่ผมคิดว่าคงต้องหาเรื่องมาเขียนสักทีก็บังเอิญได้อ่านบล็อกเรื่อง คำหล่อๆ ของคุณพี่ The Aesthetics of Loneliness (ซึ่งมีลิงก์อยู่ในบล็อกนี้แล้ว) ในหัวข้อเรื่อง "คำหล่อๆ" ซึ่งพูดถึงการทำงานของกองบรรณาธิการนิตยสารในการทำบทสัมภาษณ์ ที่ต้องออกไปสรรหาคำหล่อๆ (หมายถึงประโยคที่ฟังแล้วคิดว่าดูดี) จากดาราหรือผู้คนที่น่าสนใจ สิ่งที่คุณพี่ท่านนั้นได้บอกเล่าไว้ค่อนข้างที่จะสะท้อนภาพของการทำงานด้านนี้อย่างชัดเจน และชวนหัว(เราะ)อยู่แล้ว ซึ่งผมอยากจะขอเพิ่มเติมมุมมองประสบการณ์บางด้านอีก ในฐานะที่ผมก็เป็นมดงาน(ที่ขี้เกียจตัวเป็นขนดกฟูสวยงาม)สายนี้คนหนึ่งเช่นกัน

ในช่วงแรกๆ ที่ผมได้รับมอบหมายให้ทำบทสัมภาษณ์ขนาดยาวนั้น มันเริ่มมาจากการที่ผมได้ทำบทสัมภาษณ์ขนาดสั้นประมาณ 1-2 หรือ 2-4 หน้ามาก่อน และทางบรรณาธิการเล็งเห็นว่าผมมีวิธีการตั้งคำถามที่น่าสนใจต่อตัวผู้ให้สัมภาษณ์ ทั้งที่เป็นดาราและคนในสายอาชีพอื่น ซึ่งกว่าเจ้านายจะรู้ตัวว่าตัดสินใจผิดก็พลั้งเผลอใช้งานผมไปหลายครา (หุหุ) แต่เมื่อผมได้ลองมาทำบทสัมภาษณ์ขนาดยาวที่กินเนื้อที่นับ 10 หน้านั้น จึงได้รู้ว่าการยืนชกจนครบ 12 ยกนั้นมันเหนื่อยและชวนให้ถอดใจมากแค่ไหน

เพราะการทำบทสัมภาษณ์สั้นนั้น ถ้าคำพูด วรรคทอง ซึ่งก็คล้ายๆ กับคำหล่อๆ ของผู้ให้สัมภาษณ์นั้นมีน้อย หรือเขาให้สัมภาษณ์วกวน ไม่มีประเด็น เราก็สามารถใช้การเขียนนแบบเรียบเรียงโดยใช้ตัวเราเป็นผู้สังเกตการณ์เรื่องราวเข้ามาช่วยได้ ซึ่งก็เป็นวิธีที่ผมใช้บ่อยมาก (ในอดีต)โดยเฉพาะในการสัมภาษณ์กับดารา ซึ่งมีเวลาพูดคุยกับเราตอนแต่งหน้า ตอนที่ช่างแต่งหน้ากำลังปัดคิ้วของเธอจนเลิกไปหนึ่งข้าง ตอนที่ปากของนางแบบคนนั้นกำลังบูดเบี้ยวเพราะทาลิปสติก ถ้าเป็นดาราชาย พวกเขาก็มักจะล่อกแล่กกับสิ่งรอบข้าง หรือมัวแต่ฉีกยิ้ม สวัสดีคนนั้นคนนี้ กระทั่งระหว่างกำลังกินข้าว จนผมเองก็ไม่ค่อยจะเล็งเห็นว่า คำหล่อๆ จะหลุดออกจากปากของดาราทั้งหลายได้ในเวลาแบบนั้น แต่หน้าที่ก็ผลักดันมันไปจนผมเอาตัวรอดมาได้
แต่กับบทสัมภาษณ์ขนาดยาวที่บ้านเราส่วนใหญ่เน้นวิธีทำแบบ ถาม-ตอบ มากกว่าการเรียบเรียงแบบบทความ ลีลาการพลิ้วไหว หรือสับขาหลอกคนอ่านนั้น แทบจะใช้ไม่ได้อีกแล้ว ดังนั้นการเค้นคำหล่อๆ จากคนหล่อ หรือคนสวย รวมไปถึงคนไม่หล่อ ไม่สวยแต่หน้าที่การงานดีนั้นจึงต้องรีดเอาจนถึงที่สุด ไม่ต่างจากการรีดเลือดจากปู ด้วยคำถามที่ต้องเหลาให้คมเสียจนบาดปากผู้ถามเลือดไหลซิบ มิพักจะเอ่ยถึงผู้ถูกถาม ว่าจะต้องเสียเลือดไปหลายถุงแค่ไหน ระหว่างการบริจาคคำสัมภาษณ์

แม้จะต้องเบื่อหน่ายกับการเตรียมตัวตั้งคำถามสัมภาษณ์ หรือคอยประคองผู้ให้สัมภาษณ์ไม่ให้หม่นหมอง แต่ผมเองก็หลงเพลิดเพลินไปกับการตั้งคำถามคมๆ เพื่อที่จะได้ดักจับ คำหล่อ หรือ และ วรรคทอง อย่างหิวกระหาย ยิ่งเวลาผู้ให้สัมภาษณ์ออกปากพูดว่า โอ้ว เป็นคำถามที่ดี, อืมม คำถามคมมาก ผมก็จะยิ่งรู้สึกประหนึ่งว่าตัวเองฝึกวิชาเหยียบเมฆาล่องลอยได้ถึงขั้นเก้า แต่ว่าก็อย่างที่คุณพี่The Aesthetics of Loneliness บอกไว้ว่าบางทีเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คำหล่อๆ ที่ได้มานั้นแท้จริงแล้วมันมีประโยชน์กับคนอ่านจริงๆ หรือปล่า

ความรู้สึกนี้เริ่มก่อตัวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในความคิดของผม จนกลายเป็นว่าผมเริ่มเบื่อที่จะสรรหาคำถามคมๆ หรือรับฟัง คำหล่อๆ ของใครต่อใคร แต่การกระทำเยี่ยงนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างจริงจังนักในทางปฏิบัติ เพราะผมก็ยังต้องเรียนรู้และติดตามการทำงานของคนอื่นๆ เพื่อให้รู้ว่าวงการนี้เขาไปถึงไหนกันแล้ว กระทั่งในที่สุดผมก็ต้องตั้งคำถามคมๆ แบบเดิมอยู่ดี ตรงนี้ อาจมีคนเถียงว่ามันก็เป็นหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ดีมิใช่หรือที่จะต้องตั้งคำถามแทนคนอ่าน คำถามที่จะดึงตัวตนของผู้ให้สัมภาษณ์ออกมาให้มากที่สุด เพื่อที่คนอ่านจะได้รับรู้ถึงมิติในความเป็นมนุษย์ด้านอื่นของใครบางคนที่เรารู้จักดีอยู่แล้ว หรือไม่ค่อยจะรู้จักดีนักให้เข้าใจเขาได้มากยิ่งขึ้น - ถูกครับ มันเป็นหน้าที่ที่ต้องทำอย่างเคร่งครัดของสื่อมวลชนที่ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ และจะว่าไปแล้วผู้สัมภาษณ์ที่ดีก็ยังเป็นบุคลากรที่ขาดแคลนในวงการสื่อฯ ด้วยซ้ำ

เมื่อได้ถามตัวเองและลองหันไปมองโลกรอบข้าง จึงเห็นว่าบทสัมภาษณ์ของเมืองนอกนั้นช่างคมคาย และมีลูกเล่นแพรวพราว แต่จุดใหญ่ใจความที่ทำให้บทสัมภาษณ์ชิ้นนั้นพิเศษ ก็คือการตั้งคำถามที่ถึงลูกถึงคน บวกด้วยความเป็นคนช่างสังเกต ช่างเสียดสี(อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และกึ๋นของผู้สัมภาษณ์ด้วย) ซึ่งนิตยสารบ้านเราก็มีเช่นกันที่ทำอย่างนั้นได้ดีเช่น แต่ไม่รู้สิครับ เวลาฝรั่งเขาคุยกันแม้คำถามแม้บางข้อมันจะดูเท่ๆ แต่นั่นก็เป็นคำถามที่เรียกร้องคำตอบอย่างจริงจังจากผู้ตอบ มากกว่าต้องการเสียงหัวเราะและเฉไฉไปเรื่องอื่น และที่สำคัญคือธรรมชาติของพวกฝรั่งที่มันชอบถกเถียงกันมากกว่าจะมากระมิดกระเมี้ยน หรือมัวแต่นั่งเกรงใจโดยไม่ได้อะไรกลับไป อีกทั้งการให้สัมภาษณ์ของคนมีชื่อเสียงนั้นก็เป็น “การให้สัมภาษณ์” มากกว่าแค่ตอบคำถามให้จบๆ ไป
พอการสัมภาษณ์มันคือการพาตัวคนทำงานเข้าสู่การค้นหาความจริง หรือค้นหาตัวตนของผู้คนในระดับที่ “สร้างความตื่นเต้น” ทางปัญญา มากกว่าจะมานั่งซึมๆ คิดถึง “คำหล่อๆ” ในตอนจะมาถอดเทปแล้ว การทำงานกับเครื่องบันทึกเสียงของหนังสือเมืองนอกจึงดูดี มีสีสันกว่าเราค่อนข้างเยอะ

อย่างที่คุณพี่ The Aesthetics of Loneliness บอกไว้ว่าดารา หรือคนดังในเมืองไทย ไม่ค่อยจะให้ความสำคัญในการให้สัมภาษณ์มากเท่าที่ควร หมายถึงว่าเขาอาจไม่รู้จักหนังสือที่มาคุยว่าเป็นแนวไหน ไม่รู้ว่าบทสัมภาษณ์ขนาดยาว หรือคำถามที่จริงจังนั้นแตกต่างอย่างไรกับการให้ข่าวกับหนังสือรายวัน ซึ่งหลายคนอาจทราบก็ได้ แต่ก็ไม่ได้ทำความเข้าอกเข้าใจว่าการสัมภาษณ์ที่เอาเนื้อหามากกว่าเนื้อหนังนั้นต้องเตรียมตัว เตรียมสมองให้โปร่งโล่งอย่างไร หรือไม่คิดว่ามัจะต้องมีเวลาพูดคุยกันมากพอสมควร (ผมเคยสัมฯ นักร้องคนหนึ่ง จากเวลาพูดคุยที่ตั้งใจไว้หนึ่งชั่วโมงครึ่ง เขาต่อเหลือครึ่งชั่วโมง ไม่นับเวลาที่เขาแวะคุยโทรศัพท์นะ) กระทั่งการนัดหมายสถานที่ที่ไม่เป็นส่วนตัวและผ่อนคลายพอจะสร้างสมาธิในการตอบคำถาอันเป็นปัญหาคลาสสิก

แต่เอาเข้าจริง ผมมองว่าปัญหาที่มาจากการเบื่อหน่าย “คำหล่อๆ” หรือ “คำถามคมๆ” มันอาจเป็นเรื่องปลายเหตุจากที่สังคมเราขาดแคลนการตั้งคำถามและการให้ตอบอย่างตั้งใจ และเคารพในสถานะของกันและกัน ไอ้เรื่องที่ว่าสิ่งที่เขาตอบ ตัวตนที่เขาเผยออกมามันจะเป็นความจริงไหม ผู้อ่านสามารถเลือกข้างที่จะตัดสินได้อยู่แล้ว แม้ว่าบทสัมภาษณ์ชิ้นนั้นจะถูกขักเกลามาอย่างดีแค่ไหนก็ตาม แต่ในฐานะคนทำงาน การสัมภาษณ์ที่เป็นกระบวนการต่ออายุทางความคิด และผลิตความสุขในการเดินทางออกไปพร้อมกับเทปอัดแล้ว เหล่านี้ล้วนไม่ได้เกิดมาจากบัตรพนักงานที่แขวนคอไว้ หรือคำชมจากเจ้านายเท่านั้น

มันก็เหมือนกับการใช้ชีวิต ว่าถ้าเรารู้ล่วงหน้าว่าชีวิตจะออกมาเป็นอย่างไร แม้จะควบคุมง่ายแต่ก็ไม่อาจมอบความหมายของการมีชีวิตที่เป็นชีวิตได้ … นี่ผมพูดอะไรหล่อๆ ออกไปหรือเปล่านะ

jeeno บอกเล่า

Wednesday, November 15, 2006

"9" อัลบั้มใหม่ของ Damien Rice



+ News

ตอนนี้อัลบั้มใหม่ของ เดเมี่ยน ไรซ์ ออกมาขายใน iTunes แล้วครับ (เมื่อคืนนี้เอง Nov 14 ,2006) แต่วางที่อังกฤษตั้งแต่วันที่ 3 พ.ย .แล้ว และเข้าสู่ UK Chart อันดับที่ 4 ทันทีทันใด ! ผมลองฟังแต่ละเพลงสั้นๆ 30 วินาทีในไอจูนส์ พบว่าชุดนี้เสียงร้องไม่ใช่เป็นของเดเมี่ยนคนเดียวทั้งหมด

+ Track

1.9 Crimes / เพลงนี้เป็นเสียงผู้หญิงร้องแบบล่องลอย ๆ หน่อย เพราะทีเดียว เป็นซิงเกิลแรกของอัลบั้ม

2. The Animal were Gone / เพลงนี้เดเมี่ยน ร้องเอง มันฟังดูช้าๆ เหนื่อยๆ แกร้องประสานกับเสียงเครื่องสายเหมือนเพลง Amie ในอัลบั้ม O

3. Elephant / เสียงกีตาร์สับคอร์ดดังมาแต่ไกล
เดเมี่ยนร้องแบบโปรเทคเสียงสูงๆ อีกแล้ว คุณคงเดาได้ แต่ช้างมาเกี่ยวอะไรล่ะเนี่ย ต้องหาเนื้อเพลงมาดูประกอบ
หรืออาจจะช้างตัวเดียวกับหนังที่สร้างมาจากโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นโรงเรียนมัธยมโคลัมโบ ของ กัส แวน แซงค์

4.Rootless Tree / เพลงนี้เสียงเครื่องดนตรีเป็นแบบแบนด์ 4 ชิ้น ประดังๆ เข้ามาในท่อนฮุค

5.Dogs /ฟังเพลงนี้แล้วคิดถึง Connon Ball ในชุด O โคร้งสร้างทางคอร์ดเหมือนกันมาก

6. Coconut Skin / เพลงนี้สนุกๆ ครับ ฟังแล้วพอขยับตามได้ มีเสียงกีตาร์เป็นเสียงหลัก

7.Me ,My Yoke and I / เพลงนี้มีการร้องผ่านเสียง effect เสียงมันแตกๆ น่าจะเพลงที่ฟังดูเอ๊ะอะ โครมครามที่สุดในอัลบัมนี้

8.Grey Room / ห้องสีเทา - ขอบอกว่าเพลงนี้ขึ้นต้นมาทำให้ระลึกถึงเพลง The Blower 's Daughter เลย ฟังแล้วอยากฟังให้จบเพลงมันมีเสน่ห์อย่างแปลกประหลาด

9.Accidental Babies / เดเมี่ยนร้องกับเสียงเปียโน เมโลดี้สวยๆ ยังคงสไตล์การร้องแบบกระซิบกระซาบในฮุคที่ร้องว่า Accidental Babies

*10.Sleep Don't Weep / เพลงนี้สำหรับผมมันเป็นเพลงที่น่าตื่นเต้นที่สุดในชุดนี้ของเขาเพราะมีความยาวถึง 21.54 วินาที และเดเมี่ยน โรซ์ ร้องกับเสียงผู้หญิงที่เธอมาร้องให้ในเพลงแรก เพลงเป็นสไตล์กีตาร์อคูสติก คุมด้วยเสียงเปียโน และไม่แน่ใจว่ามีเสียงเครื่องสายอย่างอื่นมาด้วยรึเปล่าเพราะยังฟังไม่จบ

+ Interesting
ความน่าสนใจที่ผมมีต่ออัลบั้มนี้แยกเป็น 3 ข้อ

1 . อัลบั้มนี้ตั้งชื่อสั้นๆ ว่า "9" แถมยังมีซิงเกิลแรกคือ เพลง 9 crimes หรือ 9 คดีอาชญากรรม ประเด็นที่เขาหยิบมาทำอัลบั้มนี้น่าสนใจมาก ถ้าไล่ชื่อเพลงในแทร็คต่างๆ มาดู

2. อัลบั้มนี้มีโลโก้ "Parental Advisory" (ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำ)ซึ่งปกติจะพบในวงร็อกที่ดนตรีหนักๆ เนื้อหามีความรุนแรงก้าวร้าว โลโก้ตัวนี้เรียกได้ว่าจะปรากฏอย่างดาษเดื่อนในเพลงฝั่งอเมริกา แต่นี่...มาพบในอัลบั้มของหนุ่มไอริช ที่ร้องเพลงเสียงเนื่อยๆ เหนื่อยๆ แสดงว่า เดเมี่ยน กำลังทดลองอะไรบางอย่างในเนื้อเพลงของเขา หลังจากได้แผ่นมาผมจะลองวินิจฉัยดู

3. หน้าปกสวยมาก !

+ Opinion

โดยส่วนตัวผมคิดว่า เดเมี่ยน ไรช์ทำอัลบั้มเพลงนี้ในช่วงเวลาที่เขามีไฟในการทำงานที่สุดนั่นก็
29-33 ปี เขาใช้เวลานานมากในการสร้างสรรค์เพลง เขาไม่หวือหวาไปกับความสำเร็จในอัลบั้มแรก
เรียกได้ว่าหมอนี่เป็นคนเย็นชากับความดัง เขาไม่ค่อยให้สัมภาษณ์สื่อเท่าไหร่

9 ถือเป็นอัลบั้มที่ 2 ที่ถัดจากอัลบั้มแรกถึง 4 ปี แต่ระหว่างนั้นเขาก็ไปเพลงประกอบในรายการทีวีในอังกฤษบ้าง ออก EP มาบ้าง ที่สำคัญเพลงในอัลบั้มที่แล้วของเดเมี่ยนได้จุดประกายไอเดียบ้างอย่างในการทำเพลง นั่นก็คือ การใส่เสียง Ambient ลงไปในเพลง ทำให้เหมือนได้ยินเพลงของเขาในสิ่งแวดล้อมต่างๆ จุดนี้เองทำให้แต่ละเพลงในอัลบั้ม O ของเขามีมิติ มีความลึกลับ มีรสชาติที่แตกต่างจากเพลงอะคูสติกที่ออกมาพร้อมๆ กัน และแน่นอนว่าเขาได้เป็นหัวแถวให้ศิลปินคนอื่นๆ ทำตาม

เอาล่ะใครที่เป็นแฟนของตานักร้องหนุ่มหน้าเบื่อโลกคนนี้เตรียมฟังงานชุดนี้ได้เลย คิดว่า Warner Music ประเทศไทย น่าจะนำเข้ามาขายประมาณสิ้นนี้เดือน พ.ย. นี้ครับ แต่ถ้าอดใจไม่ไหวหาฟัง sample ได้ที่ iTunes

+ Trivia
คุณรู้หรือไม่ว่า ? เดเมี่ยน ไรช์ นี่นอกจากเป็นนักร้องที่หน้าป่วยอยู่ตลอดเวลาแล้ว เขายังเป็นทำงานเป็นอาสาสมัครเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนอีกด้วย เช่น เขาเคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับในการเคลื่อนไหวเพืื่อต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า และทำอัลบั้มการกุศลช่วยเหลือคนยากจนในพม่ามาแล้ว ชื่อว่า "Unplayed Piano" กับนักร้องนามว่า "Lisa" ผมก็ไม่รู้จักเหมือนกันว่า Lisa ไหน แต่เพลงนี้เพราะขั้นเทพฯ ลองหาไปฟังได้ที่ youtube

อ้อ...ลืมบอกไปว่าเดมี่ยนเล่นเพลงนี้ในคอนเสิร์ตเพื่อฉลองงานประกาศผลรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพปี 2005 เขาสะกดคนทั้งฮอลล์

+ Link
http://www.youtube.com/watch?v=FehGdho5Hhg
http://www.damienrice.com/

Post by buiberry

Tuesday, November 14, 2006

ว่าด้วยซีรีย์ฝรั่ง


ตอนนี้ผมกลายเป็นคนติดซีรีย์ฝรั่งงอมแงมไปแล้ว หลายเรื่องมากที่ดูแล้วชวนอึ้งว่า แค่ตอนๆ หนึ่งของมันนี่
คงพอตจะสร้างละครไทยได้ทัั้งชาติ ของทุกช่อง แต่ก็นั่นล่ะ เขาผลิตที ขายแค่ในประเทศเขาก็คุ้มแล้วล่ะ
อย่าง er ที่ดูตั้งแต่สมัยหมอกรีนยังอยู่(จอร์จ คลูนีย์) ดูตอนนั้นก็งงไปทีแล้วว่า มันกันยังไง ทั้งฉากห้องอีอาร์ที่แม่งเหมือนชะมัด
ความรู้ืทางการแพทย์ที่สมจริงสุดๆ บทพูดของตัวละคร จังหวะการเปลี่ยนมุมกล้องเพื่อโฟกัสตัวละครให้เด่นเท่าๆ กัน
แถมเกลี่ยบทให้แต่ละคนมีความน่าสนใจ ต้องยอมรับเลยว่าทำได้เหมือนเสียตนรู้สึกไปเลยว่า
ถ้าจอร์จ คลูนีย์ เกิดถ่วติดคอ เขาคงรู้วิธีเจาะคอตัวเองแน่ๆ
เคยอ่านในหนังสือชื่อว่า "ทำไม่ผู้ชายถึงมีนม" ตอนหนึ่งที่คนเขียน เขียนถึงทีมเขียนบทของอีอาร์ว่า
ต้องเข้าไปทำรีเสิร์ชในห้อง
ฉุกเฉินจริืงๆ จากนั้นก็เอาข้อมูลทางการแพทย์ไปใส่ดราม่าลงไปอีกหน่อย แลัวผูกเรื่องให้ตัวละคร
แล้วถึงจะออกมาเป็นบท แถมทีมเขียนบทไม่ได้มีทีมเดียวด้วย มีสองทีม ผลัดกันเขียนไป
โห ฟังแค่นี้ก็รู้ว่าเป็นการทำงาน
ที่ละเอียดซับซ้อน และสุดยอดจริงๆ sex and the city ก็เช่นกัน ก่อนเขียนบทเรื่องนี้
มีการรีเสิร์ชข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของ
ผู้หญิงใน NYC แล้วก็มาวิเคราะห์ตัวละครที่จะใส่ จากนั้นจึงเริ่มลงมือผูกเรื่องราว
ทั้งหมดนี้ทำงานกันเป็นทีมและกว่า 6-8 ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างบุคคลิกของตัวละครที่เข้ามาในซีรีย์
ผมจำได้ว่า แผ่นสุดท้ายของ SATC บอกว่าต้องใช้คนเขียนบทถึงสองคน
สร้างบทบาทตัวละครอย่าง ซาแมนท่า(นำแสดงดโย คิม คาร์เทล) ขึ้นมา
ตอนนี้นอกเหนือจาก er แล้ว nip/tuck, CSI, Jacky and Bobby เป็นซีรี่ย์ที่ดุสนุกมาก
อย่าง nip/tuck นี่ ตอนจบของแต่ละตอนมีเรื่องหักมุมชนิดที่เราอึ้งไปเลย
อย่างตอนล่าสุด เป้นเรื่องของลูกสาวที่ไม่ถูกกับแม่ แต่แม่ดันเครื่องบินตก
หลังจากที่ทะเลาะกันหมาดๆ
ด้วยความรู้สึกผิดก็เลยยืมมือของศัลยแพทย์ตัวเอกสองคนเข้าไปเป็นแพทย์อาสาสมัครในการกู้ชีพ
เพ่ื่อที่ตัวเองจะได้หามาเจอ ระหว่างที่หาศพแม่ เขาก็ไปเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องคิดเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับแม่
แต่พอเจอศพแม่(ซึ่งหมอศัลย์ฯ ที่เป็นแฟนเก่าของเธอ ที่มาช่วยหาศพแม่
ระบุตัวให้เพราะว่าเขาเคยผ่าตัดเสริมสวยให้เธอหลายครั้ง จึงรู้ว่าน่าจะใช่) เขากลับสารภาพว่าเขารู้สึกโล่งใจที่แม่ตาย
วินาทีที่สาวคนนี้กำลังจะเดินออกไป ปรากฏว่าร่างที่เหมือนศพที่โดนไฟไหม้จนเกรียมยังไม่ตาย
แต่พยายามหายใจ
เธอเตัดสินใจอาหมอนกดหน้า จนแม่เธอแน่นิ่งไป
เรื่องที่ตื่นเต้่นอยู่คอนท้ายสุดของหนัง เพียงแค่ 10 วินาทีก่อนหนังจบที่ตัวเอกกลับมาบ้าน
แล้วเจอว่าจริงๆ แม่เขาไม่ได้กลับเที่ยยวบินนั้น และนั่งรอเธออยู่ที่บ้าน
ชั่วโมงหนึ่งที่นั่งดู ไม่เท่ากับวินาทีสุดท้ายที่เห็นจริงๆ
แหม...จะว่าไป "ท่าจบ" นี่ก็ดูเห็นเรื่องใหญ่ไม่น้อยเหมือนกันนะนี่
ลองหามาดู ไม่ติดใจให้เตะเลยเอ้า
ps. สาวชุดแดงคือตัวเองในเรื่องนี้ ส่วนผู้ชายสองคนนั่นก็น่าจะเดากันออกว่าเป็นหมอ

ประกาศข่าวครับ

เนื่องจากว่าเดือนหน้าเป็นต้่นไป เราได้มีการประกาศลงโฆษณาในหนังสือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ฉะนั้น หลังจากฉบับหน้า ผมก็หวังว่าจะมีผู้คนล้นหลาม และไม่ล้นหลาม เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซท์แห่งนี้อย่างเป็นทางการ
กฏกติกาอยย่างหนึ่งของการโพสต์ที่นี่นะครับ อย่าเอางานเขียนที่เขียนลงในนิตยสารมาลงที่นี่
เพราะมันผิดทั้งลิขสิทธิ์และเดี๋ยวจะไม่มีคนซื้ออ่าน
ขอให้ที่นี่เป็นเหมือนห้องรับแขก ไม่ใช่ห้องทำงาน
อย่าเอาของจากห้องทำงานมาไว้ในนี้นะครับ
อ้อ อีกอย่างหากข้อเขียนของใครดี (หมายถึงไม่ใช่ของคนคุ้นชื่อที่อยู่แถวๆ นี้)
ช่วยกันดูครับ เรามีค่าเรื่องให้คนที่เขียนดี หากได้ลงในนิตยสาร
ขอให้พลังอยู่กับทุกคนครับ

All Night Listening

StrangeR's Tales
by StrangeR


เด็กชายคนหนึ่งชอบเปิดเพลงฟัง หลังเขาและแม่ดับไฟนอนในตอนค่ำ
เสียงเพลงที่ดังออกมาจากหูฟัง ราวกับว่า นักร้องคนนั้นกำลังกระซิบเพลงนั้นให้เขาฟังโดยเฉพาะ-อยู่ข้างๆ หูเขานี่เอง

เด็กชายวนเปิดอัลบั้ม Californication ของ Red Hot Chilli Peppers เปิดอัลบั้ม Greatest Hits ของ
Oasis ซาวด์แทร็ก Lily Chou-Chou* หยิบ Reign of Fire ของจอห์นนี่ แคช มาฟัง จากนั้นหยิบ Flure
ชุดแรกมา ต่อจากนั้นก็...อะไรอีกน้า จำไม่ได้แล้ว เขาฟังไปเรื่อยๆ จน...เอ๋ เช้าแล้วนี่นา

ท้องฟ้าเท่ารูปสี่เหลี่ยมของบานหน้าต่างเปลี่ยนจากสีม่วง เป็นสีขาวแล้ว

If you're leaving will you take me with you?
I'm tired of talking on my phone**

คุณแม่ของเขาแต่งตัวไปทำงาน ขณะเปิดประตูบานนั้นออกไป เธอหันมามองลูกน้อย
คุณลูกที่นอนลืมตาโพลงอยู่ หาว [ท่าเดียวกับแมวเหมียวไมเคิล]
แล้วคุณลูกก็ทำทีเป็นหลับต่อ

There is one thing I can never give you
My heart will never be your home
[...เพลงของโอเอซิสเพลงนี้มักโผล่ออกมาตอนตี 3 ทุกที แล้วเราก็เผลอร้องตามออกมาทุกที ไม่รู้ทำไม]

แล้วคืนหนึ่งก็ผ่านไปแบบนี้
..คุณเคยมีประสบการณ์แบบนี้ไหม?

หมายเหตุ*
*1 อันนี้ต้องขอบคุณพี่อ๋องที่ให้ยืมซีดีแผ่นนั้นมาไรท์ (ซึ่งก็เป็นแผ่นที่ไรท์มาเหมือนกัน)
**2 ท่อนนี้จากเพลง Stand by Me ซึ่งนายเลียม กัลลาเกอร์ จะต้องร้องเสียงแบบว่า "ทอล์กกิน' ออน
มาย ฟวอนนนน..." (คล้ายๆ สาดดดด...ของบุ๊ย) ด้วยนะ

10%




เมื่อวานนี้ผมใช้เงิน 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนเดือนนี้ซื้อดีวีดีครับ อย่าเดาเลยว่าสิบเปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนผมมันเท่าไหร่ บอกได้เพียงว่าผมได้หนังมาไม่กี่เรื่อง แต่ก็เพียงพอที่จะดูจนถึงสิ้นเดือน

เรื่อง 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน ผมได้ยินครั้งแรกตอนที่ไปสัมภาษณ์ผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่ชอบเที่ยวอาบ อบ นวดเป็นชีวิตจิตใจ พวกเขาเป็นผู้ชายที่มีงานการที่ดี มีครอบครัว มีภรรยา บางรายก็มีลูกแล้ว แถมลูกก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวด้วยซ้ำ บางคนเป็นถึงข้าราชการระดับสูง หนุ่มๆ กลุ่มนี้เจอกันที่ผ่านเว็บไซต์แห่งหนึ่งซึ่งพูดคุยกันเรื่องคนติดอ่าง ต่อมาจึงสถาปนาตัวเองเป็นกลุ่มผู้ชายที่รักการอาบน้ำอุ่นนอกบ้าน วันนั้นผมได้ฟังประสบการณ์สนุกๆ จากกูรู 4-5 ท่านนี้ พร้อมทั้งได้ข้อคิดบางแง่

คุณลุงคนหนึ่งบอกว่าแกใช้ 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนเป็นค่าใช้จ่ายในการเที่ยวอ่าง แกยอมรับกับภรรยาตรงๆ ว่าไม่เคยนอกใจเมียตลอด 20 ปีที่แต่งงานกัน แต่ขอนอกกายบ้าง แรกๆ ภรรยาก็ไม่เข้าใจ เดินหน้าตามล้างตามล่าจนเป็นเรื่องครอบครัวแทบพัง ! แต่ในที่สุดแกก็พิสูจน์ให้เห็นว่า การเที่ยวอ่างไม่ทำให้ครอบครัวเดือนร้อน คุณลุงโลกียะชนคนนี้ อธิบายและปฏิบัติต่อภรรยาบังเกิดเกล้าด้วยความสัจจริง และที่สำคัญแกบริหารเงินทุกบาททุกสตางค์ที่หามาได้ทำให้ครอบครัวมีฐานะที่มั่นคง แต่แกขอแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นสำหรับเป็นค่าใช่จ่ายในการอาบน้ำ

แต่ก็นั่นแหล่ะครับ 10 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน บางคนก็มากมายมหาศาลทำงานเดือนเดียวก็เท่ากับเราทำทั้งปีหรือทั้งชาติ สำหรับคนที่มีรายได้เดือนละ 1 ล้านบาท 10 เปอร์เซ็นต์ของเขาก็คือ 1 แสน หรือ 10 เปอร์เซ็นต์ของคนที่รายรับเดือนละ 1 แสนบาทก็คือ 1 หมื่น ลดลงมาหน่อย 10 เปอร์เซ็นต์ของคนที่รายได้ 1 หมื่นบาทก็คือ 1 พัน

มีคำพูดหนึ่งของคุณลุงนักเที่ยวท่านนั้นที่ยังฝังอยู่ในหัวผมก็คิือ
“ของอย่างนี้ลูกผู้ชายก็ต้องมีกันบ้าง”

แต่ผมก็ยังคาแคลงใจในเรื่องศีลธรรมว่าภรรยาที่นอนรอสามีที่ไปเที่ยวอาบอบนวดตลอด 10 ปี 20 ปีเป็นอย่างไร บางทีน้ำตาของเธออาจพัฒนาไปเป็นต้อหิน จะว่าไปเมื่อมาคิดดูแล้วมนุษย์เกิดมาล้วนมี Exit ด้วยกันทั้งนั้น ต้องมีทางใดสักทางหนึ่งที่เงินของเราต้องไหลไปแลกไปกับอะไรที่ชอบ อะไรที่ทำแล้วมีความสุข และเราสละเพื่อตอบสนองจริตนั้น บางคนอาจชอบเดินทางท่องเที่ยว บางคนสะสมกล้อง บางคนชอบเสื้อผ้าหรูหราเครื่องสำอางค์ชั้นดี บางคนเช่าพระ บางคนบ้ารองเท้าผ้าใบ ผมคิดว่าเราหนีกันไม่พ้นสำหรับเรื่องทำนองนี้ แต่เราจะบริหารความซอบที่แลกกับรายได้อย่างไรให้ไม่เจ็บตัวนั่นละประเด็น

ผมเองก็เพิ่งรู้สึกตัวจากการใช้เงินแบบไม่รู้จักออมก็เมื่อ 3-4 เดือนที่ผ่าน ผมพบว่าในรอบ 1 ปีแรกที่ผมทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน ผมใช้เงินอย่างคนไร้อนาคต ได้มาซื้อไป ได้มาใช้ไป ทำอะไรตามใจตัวเองจนบางเดือนต้องกินมาม่่าตั้งแต่วันที่ 15 16 ผมไม่เคยมีเงินเก็บ ซ้ำยังกระแทกกระเป๋าสตางค์อยู่เรื่อยๆ ที่ผ่านมาการใช้เงินอย่างไม่วางแผนของผมจึงเป็นตราบาป เพราะถ้าผมรู้จักเก็บเงินสักหน่อยป่านนี้ผมก็คงมีเครื่องเสียงดีๆ ราคาสองสามหมื่นฟัง หรือชุดโฮมเธียร์ขนาดย่อมๆ ไว้ดูหนังให้กระฮึ่มไปแล้ว
แต่ “ของอย่างนี้ (การใช้เงินอย่างไม่เลียวหลังแลหน้า)ลูกผู้ชายก็ต้องมีกันบ้าง”

ต่อมาพอผมเริ่มออม เริ่มชักหน้าถึงหลัง บวกกับมีงานเล็กๆ น้อยๆ เข้ามาพอให้มีเงินจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ เหลือจากส่วนที่ส่งให้ที่บ้านแล้ว ผมก็วางแผนว่าแต่ละวันใช้เท่าไหร่ดี จะซื้ออะไรวันไหนของเดือน เริ่มหายใจไปพร้อมกับเงินที่หาได้ แรกๆ ก็แทบลงแดง เพราะผมหักดิบ เอาแต่ดูหนังรอบสื่อฯ ไม่ได้ดีวีดีเลย จนผมคิดว่าชีวิตมันขาดหายอะไรไปบางอย่าง เมื่อเรามีต้องเก็บ เหลือจากเก็บก็เอาไปใช้ในสิ่งชอบๆ ผมก็เลยเอาไปอาบ อบ นวด ! ไม่ช่ายยยย

ผมก็เลยเอา 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนไปกระจายเป็นซีดีเพลงสักแผ่นสองแผ่นที่ต้องเก็บ ตลอดจนดีวีดีเรื่องที่ดูแล้วเกิดความคึกคักทางสติปัญญาและอารมณ์-อันหลังนี่อาจหมายถึงหนังแนวนอน ไม่ช่ายยยย เล่นมากไปจะเฝือได้มุกนี้ ฮิฮิ

ถึงตอนนี้ผมก็กำลังสนุกกับเรื่องบริหารจัดการเรื่องแบบนี้ในชีวิตครับ แม้บางเดือนผมอาจจะซื้อได้ไม่ถึงเป้าที่วางไว้ แต่ก็ยังดีที่เราทำอะไรไม่เวอร์ไปกว่ารายได้ ผมคิดว่าจะคงคอนเซ็ปต์ 10 เปอร์เซ็นต์นี้ไปเรื่อยๆ ครับ เพราะตอนนี้มันไม่กระทบกับชีิวิตด้านอื่น แต่ถ้ารายได้ไม่อำนวยและตกงาน ผมก็คงต้องหยุดและกลับไปลงแดงอีกครั้งหนึ่ง เหมือนลุงคนนั้นที่ไม่ได้ไปรัชดา ใช่ ! มันอาจจะเป็นการยึดติดแต่ถ้าไม่มีอะไรยึดผมก็เคว้งเพราะหนังสำหรับผมมันได้ทำหน้าที่คล้ายศาสนาไปแล้ว - เวอร์

เอาน่า….ถึงผมไม่ได้เห็นด้วยกับการที่พ่อบ้านย่องไปเที่ยวพระรามเก้าตอนดึกๆ แต่ผมก็เริ่มเข้าใจว่าคนเราควรจะหาความสุขให้กับชีวิตบ้าง หากได้ทำหน้าที่ที่รับผิดชอบของตัวเองดีพอ

แล้วคุณละครับใช้ 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนไปทำอะไร ?

Posted by buiberry

Monday, November 13, 2006

Do it right away, man



Poom says:
เมื่อกลางสัปดาห์เราไปงานเปิดค่ายเพลงใหม่ Luxi ของไทอิชิโร่และเพื่อนเค้าอีก 2 คน ที่ร้านปลาดิบ
ชิโร่ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่องไสยศาสตร์เรื่องพิธีกรรมความเชื่อของคนไทย (ถ้าจำไม่ผิดนะ) เราซ้อมฟันดาบมาด้วยกัน ไปกินนมมนด้วยกัน ไปเก็บตัวนักกีฬากัน เรายังจำได้เลย

เมื่อวันงานเปิดอัลบั้ม เรามีความรู้สึกประหลาดๆ ประมาณว่า เอ๊ แล้วเราควรจะมีดอกไม้หรืออะไรไปแสดงความยินดีเขาไหม คืออย่างน้อยก็เป็นเพื่อนกัน
แต่ถึงมีดอกไม้ให้เขาเราก็ว่าดูเวอร์ไป ดูเขินๆ อีก เพราะเราเองก็ไปงานในฐานะสื่อคนหนึ่ง ไปทำข่าว

เรารู้สึกชื่นชมชิโร่ เขาได้ทำอะไรอย่างที่อยากทำออกมาเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ทำค่ายเพลงของตัวเองจนได้

พอกลับมาบ้าน นอนฟังอัลบั้มนั้น (ชื่อว่า Magic) ดู เราชอบ 2 เพลงของวงญี่ปุ่นชื่อ Kicell มาก เพลงมันประมาณนี้นะ:

[โป๊ะโป๊ะ ตึ่งตึ่ง..โป๊ะ ตึ่งตึ่งตึ๊ง ] [กรุ๋งงงง กริ๋งงงง] [โป๊ะโป๊ะ ตึ่งตึ่ง..โป๊ะ ตึ่งตึ่งตึ๊ง ]
โอออออ...นากานิ ฮาาาาา....เรโมโน ยาาาา....วูเรเต [ตึ่ง ตึ๊ง ตึง ตึ่ง ] ตู....บีตัสกา
ตูบิตัสกา [ตึ่ง ตึ๊ง ตึง ตึ่ง ] [กรุ๋งงงง กริ๋งงงง] [โป๊ะโป๊ะ ตึ่งตึ่ง..โป๊ะ ตึ่งตึ่งตึ๊ง ]
โอออออ....นากานิ เม....ซามาซุย โออออ.....กาอัตตะ [ตึ่ง ตึ๊ง ตึง ตึ่ง ] ยู...เมดัตตา
กาซิกาโซเอเต๊วาชูซุย ยูมิโนอิฮาราตูเมรูโนซา ซูซุกิ วาอะตารายซูนี กิโอโนมีตาเต๊เร มิโนเซ อิกานา ...อ๊าอา อ๊าอา อาอา

คือภาษาญี่ปุ่นจริงๆ เขาคงไม่ได้ร้องแบบนี้ แต่เราฟังได้แบบนี้น่ะ แหะ เพลงนี้ชื่อ Yume No Ikura ลองเอามาฟังดู เพราะมาก อีกเพลงนึงชื่อ Hanare Banare ก็เพราะเหมือนกัน

เป็นเพลงที่พอเราฟังแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยอยู่ เหมือนฟังเพลงซาวด์แทร็คเรื่อง All about Lily Chou-Chou เราว่าเป็นความรู้สึกคล้ายๆ กัน
ง่า ออกนอกประเด็นไปเยอะ คือเราจะบอกว่าพอฟังแล้วชอบมาก เราก็เลย Message ไปบอกชิโร่ ว่าเราชอบ Kicell มาก ยินดีด้วยนะอะไรทำนองนี้

แค่นั้นแหละ เรารู้สึกสบายใจเป็นปลิดทิ้ง
คิดได้ว่า อยากจะแสดงความยินดีกับใครหรือชมใครหรือทำอะไร (จะเรื่องเล็กหรือใหญ่) ก็ทำไปเถอะ ทำไปเลย ไม่ต้องคิดมากอะไรทั้งสิ้นว่าควรไม่ควรหรือเขาจะสนไม่สน (หลังจากนั้นชิโร่ก็แมสเสจมาบอกว่าขอบคุณ)

เราว่าการแสดงออกถึงความรักหรือความชื่นชมต่อใครคนหนึ่งมันดีกับชีวิตมากนะ
มีหนังของจางอี้โหมวเรื่อง Riding alone for 1000 Miles ที่เราเพิ่งเอามาดู ก็พูดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน คราวหน้าอาจจะเอามาเล่าให้ฟังนะ (ไม่ spoil หรอกน่า)

วันนี้คุณชมใครซักคนหรือยัง?

**ติช นัท ฮันห์ บอกว่า หากคุณกำลังโกรธใครอยู่ จงส่งของขวัญไปให้เขา (ไม่ใช่ส่งระเบิดไปนะ! แต่เป็นของขวัญจริงๆ)**

"นางฟ้าเริ่มวัยชรา" มาสู่ "เขาชนไก่"


เฮือก เฮือก !!! ขอหายใจ 2 ทีก่อนที่จะเมาท์นะคะ
ช่วงที่ผ่านมาใครจะรู้ว่าเล่นเอาเกือบตายเหมือนกัน
แหม ก็งานมันเยอะอ่ะ จะทำยังไงได้
ก็ต้องทนสู้กันไป ไม่หวั่นแม้วันมามาก
แม้จะลำบากดุจดัง โอชิน + วัลลี
แต่ทั้ง 2 คนนี้ก็คงถึงน้อยกว่านางฟ้าอย่างดิชั้น
เพราะมันจะได้ไม่เสียชื่อที่เพื่อนๆมักจะเรียกว่า
"อีถึก...ตึกนรก"

ต้องรีบมาเมาท์หน่อยค่ะ เพราะที่จริงงานก็ยังไม่เสร็จดีเท่าไหร่
แต่ในสมองมัน เครียดs เหลือเกิน
(ออกเสียงว่าเครียสสสสสส เพราะเครียดมาก)
แต่ก็ไม่รู้ว่าช่วงนี้บรรดาสมาชิกทั้งปวงต้องงานเยอะเหมือนกันแน่ๆ
เพราะบล็อกแช่นิ่งไม่ไหวติงขนาดนี้
ถ้ามีเวลาก็มาเมาท์กันบ้างนะคะ

คิดหนักค่ะ เพราะ "วันลอยกระทง" ที่ผ่านมา
ที่มันไม่ได้พาความรู้สึกของดิชั้นให้รู้สึกตื่นเต้นไปกับมันเลย
ลองกลับมาคิดว่าตัวเองต้องเริ่มแก่แล้วแน่ๆเลย
ไม่จริ๊ง ไม่จริง !!! น้องเปรอรับไม่ได้
เพราะเวลาที่กำลังจะผ่านไป มันจะทำให้ความสาวลดลง
ดังนั้นคงต้องเร่งหาวิธี มาทำให้ความสวยนี้นิรันด์ให้จงได้
ว่าแต่จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย นึกไม่ออก
ครั้นจะบอกว่าปล่อยไปตามยถากรรม
ตามคำสอนของพระท่านว่าอย่ายึดติดกับร่างกาย สังขาร
ที่ไม่ใช่ของเรา ก็แลดูน่าเศร้าจิต
ลองคิดสภาพดูว่าถ้าทำอย่างนั้น
อีกไม่นานดิชั้นคงจะได้ไปออกรายการ "วงเวียนชีวิต" แน่เลย

กระเทยเพื่อนสาวสมัยมัธยมของดิชั้นเคยบอกว่า
"ถ้าอายุ 40 เมื่อไหร่จะฆ่าตัวตาย เพราะไม่อยากเห็นตัวเองเป็นกระเทยแก่"
ดิชั้นก็เลยไม่รู้ว่าจะขำเธอหรือจะสงสารเธอดี

ว่าแต่ช่วงนี้เห็นมีหนัง "เขาชนไก่" ออกมา
มันพาให้ดิชั้นย้อนรำลึกถึงวันนั้นที่ต้องไปใช้ชีวิตเยี่ยงทหารหาญ
ถึงแม้มันจะไม่ใช่ที่ "เขาชนไก่" เช่นกัน
แต่ความรู้สึก มันต้องไม่ต่างกันอย่างแน่นอน

ไม่เคยคิดเลยนะคะว่าชีวิตนี้ จะมีช่วงเวลาที่ต้องดองเค็มตัวเองถึง 5 วัน
ก็คุณพี่ทหารเหล่านั้นนะสิ มิยอมให้อาบน้ำเลยซักวัน
ทริปนั้นก็เลยกลายเป็น "สาวเปรี้ยว" สมดังใจหวัง
ดิชั้นยังจำฝังใจได้ในทุกเหตุการณ์
ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย
ฝึกหนักจนเกือบจะตาย ถ้าไม่ได้เครรื่องดื่มสปอนเซอร์คงแย่
แต่รู้สึกเสียลุคยังไงก็ไม่รู้
คิดสภาพดูสิคะ
นางฟ้าที่ควรจะดื่มน้ำส้มตอนหิวกระหาย
แต่มันกลับกลายเป็นเครื่องดื่มสปอนเซอร์
ที่มักจะพบเห็นเสมอในการแข่งขันตะกร้อ
ยืนจ้องทำใจซะนาน
"เอาวะ กินก็ได้ ตัวยังกะควาย เดี๋ยวเป็นลมไปไม่มีใครแบก"
อึ๊ก อึ๊ก อึ๊ก...
โอว...พระเจ้า ใครก็ได้โยนลูกตะกร้อให้ชั้นที !!!
ทำไมอยู่ๆก็มีแรงพลังขึ้นมาอีกก็ไม่รู้
ไม่อยากจะเชื่อ แต่น้ำเหลืองๆใสที่ดูๆไปเหมือนฉี่แค่นั้นเอง
จะทำให้ดิชั้นคืนร่างได้อีกครั้ง
เรี่ยวแรงพลังกลับมาเต็มสตรีม
เพื่อจะได้ Go to Dream ตามล่าหาฝันกันต่อ
รอกว่าจะครบ 5 วัน มันช่างลำบากซะจริง

ว่าแล้วดิชั้นก็จะขอทิ้งท้ายให้กับความทรงจำเก่าๆ
ที่ยังไม่เคยบอกอีเพื่อน ร.ด.ตัวดีและคุณพี่ครูฝึกก่อนละกัน
เผื่อใครจะรู้จักมันจะได้บอก

1. ไอ้เกม เพราะเมิงแอบกินข้าวก่อนคำสั่ง
เลยโดนริบช้อนกันหมด ทำให้ชั้นน้ำตาแทบร่วง
ต้องใช้นิ้วมือดำๆ กินข้าวกับแกงไก่
2. อีทักษิณ ตุ๊ดตัวดำต่อไปอย่าทำไปเที่ยวหลอกผู้ชาย
ให้หลงเชื่อว่าดำเพราะพรางหน้า พรางตัว ผู้ชายเขาไม่ได้
ตาถั่วจนมองไม่รู้หรอกย่ะว่าหล่อนมันดำตั้งแต่ยังไม่ได้พรางแล้ว
3. ดิชั้นอยากบอกว่า ที่ดิชั้นพรางหน้าหมดเหลือแต่ปาก
เพราะดิชั้น อยากเป็นหมิวบนปก DNA ค่ะ ไม่ใช่เงาะป่า
4. ไอ้ต่อ เมิงเก่งมากที่ใส่เฝือกหลอกครูฝึกได้ถึง 5 วัน
น่าจะให้ตุ๊กตาทองไปตั้งไว้ที่บ้าน
5. ขอบคุณนางฟ้าอีก 30 กว่าชีวิต
ที่รวมอุทิศตนในการฝึกและจงรู้ไว้ว่า
เพราะพวกเรานี่แหละ ทำให้นางฟ้ารุ่นน้องต้องตกกระป๋องไป
ไม่ได้เข้าฝึก เพราะทหารกลัวจะเป็นเหมือนรุ่นพวกเรา
6. คุณครูฝึกคะที่เคยมาตบหัวดิชั้น เพราะกล่าวหาว่าดิชั้นปลดล็อกปืน
โปรดรู้ไว้ด้วยค่ะว่า ดิชั้นไม่ได้ปลดแต่อีคนก่อนหน้านั้น
มันไม่ได้ล็อกไว้
7. ผ้าพันคอที่แจกให้ ควรทำผืนใหญ่กว่าเดิมนะคะ
เพราะเวลาที่ต้องถอดเสื้อ เหลือแค่ผ้าผืนเล็กๆ
มันพันเป็นเกาะอกไม่ถึงค่ะ
8. ครูฝึกสุดหล่อคะ ทำไมมาแค่คืนสุดท้าย เสียใจนะคะ
ยิ่งครูพูดว่า
"พวกเธอเคยได้ยินกันมั๊ย...
ชายใด ได้ลิ้มรสชาย ชายผู้นั้นถือว่าเป็นยอดชาย...
ซึ่งครูก็เคยเป็นยอดชายมาก่อน"
พวกหนูถึงกับกรี๊ดกันไม่ออก
ครูอ่ะน่าจะบอกพวกหนูตั้งแต่แรกนะ
จะได้ออกตัวไปขอเข้าเวรแถวเตนท์ครูน่ะค่ะ
อิอิ...

นางฟ้า...มหาประลัย

Wednesday, November 08, 2006

ไฟไหม้บ้าน

เมื่อมีคนพูดจาหรือทำอะไรให้เราขุ่นเคือง เราย่อมเป็นทุกข์ เราจึงมักจะพูดหรือตอบโต้เพื่อให้คนผู้นั้นเป็นทุกข์บ้าง ด้วยหวังว่าตัวเองจะทุกข์น้อยลง

ผลก็คือ มีแต่จะทำให้ทั้งสองฝ่ายทุกข์หนักยิ่งขึ้น

อย่าพูดหรือทำอะไร สิ่งที่เธอพูดหรือทำด้วยอารมณ์เดือดดาล อาจทำให้สัมพันธภาพของพวกเธอแย่ลง ทว่าพวกเราส่วนใหญ่ไม่ทำเช่นนั้น เราไม่ปรารถนาที่จะกลับมาหาตัวเอง หากต้องการไล่ตามอีกฝ่ายเพื่อทำร้ายเขา

ถ้าไฟกำลังไหม้บ้านของเธอ สิ่งที่จะต้องทำอย่างเร่งด่วนที่สุด ก็คือพยายามดับไฟ ไม่ใช่วิ่งตามคนที่เธอคิดว่าเป็นผู้วางเพลิง

ติช นัท ฮันห์

Sunday, November 05, 2006

ความอ้วนกับ monster house


ภาวนาว่าตอนไปดูหนังเรื่องนี้ขออย่าให้เจอเด็กมานั่งข้างๆ เลย แต่แล้วก็เป็นเหมือนกฏมอร์เฟียสว่าไว้
("สิ่งที่คิดว่าจะเกิด โดยเฉพาะเรื่องแย่ๆ มันมักจะเกิดขึ้นเสมอ)ว่าแล้วเด็ก 3 กับพ่อแม่ แต่ก็ดีที่ไม่เสียงดังอย่างที่คิด
monster house เป็นเรื่องของบ้านผีสิง ที่ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ และเด็กสามคนในละแวกบ้นนั้น เกิดต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับบ้านหลังนั้นคืนวันฮัลโลวีน
หนังเรือ่งนี้ดึงดูให้ผมไปดูก้เพราะคนเขียนบทคือโรเบิร์ต เซเมคิส ซึ่งผมผลงานของเขาเป็นการส่วนตัวอยุ่แล้ว
อแต่ไม่ได้ตั้งคตวามหวังอะไรไว้มาก เพราะรุ้อยู่แล้วว่านี่คือหนังเด็ก ฉะนั้นแล้วเขาก็ทำให้เด็กๆ ดู
การถ่ายทอดเรื่องราว หรือการสร้างบุคลิกของตัวละครก็คงไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมาย เพื่อให้เด็กเข้าใจง่าย
แต่สุดท้ายก็มีประเด็ให้พูดถึงจนได้ เพราะคนอ้วนในเรื่องนี้ถูกกระทำ ซึ่งนั่นมันน่าสนใจดีว่า สรีระของคนในเรื่องนี้
สร้างทัศนะคติในเรื่องความเลวร้ายกับความอ้วนให้กัคนดู
คนอ้วนในเรื่องมีสองคนที่เป็นตัวลัครที่เด่นชัด หนึ่งคือเด็กอ้วนก๊วนพระเอก และสองคือภรรยาของเจ้าของบ้านผีสิง(จริงๆ แล้วยังมีตำรวจและนักเล่นเกม แต่เนื่องจากว่าไม่ได้เป็นตัวเด่นในเรื่องมากนัก ก็เลยไม่ขอพูดถึง)
บุคลิกของเด็กอ้วนในเรื่องเป็นเด็กโง่ๆ ทำอะไรโผงผางไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลัง เป็นตัวตลกเพราะความโง่ของตัวเอง
ส่วนภรรยาเจ้าของบ้านผีสิง ก็เป็นคนที่มีปมด้อยเรื่องความอ้วน ถูกจับไปแสดงในคณะละครสัตว์ เพราะคัวอ้วน จนกระทั่งมาพบผู้ชายคนหนึ่งซึ่งรักเขาอย่างหมดหัวใจ เขาจึงพาออกมาจากคณะละครสัตว์ กระนั้นก็ตามความอ้วนของเธอก็ยังถูกเด็กในละแวกบ้านล้อเลียนและรังแกอยู่เสมอ จนกลายเป็นความแค้น ที่เธอมักจะตอบโต้เสมอเวลาที่เด็กๆ มาแกล้งด้วยการด่าทอ หรือขับไล่ ระหว่างที่สร้างบ้านเกิดควาผิดพลาด ทำให้เธอโดนฝังทั้งเป็นใต้บ้านตั้งแต่บ้านยังทำไม่เสร็จ นั่นทำให้เธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้านไป
และทำให้บ้านหลังนี้จมอยู่กับความแค้น ทุกคนที่เข้ามาใกล้เธอ(หรือบ้าน) เธอก็จะทำร้ายเพราะคิดว่ามาล้อหรือทำร้ายเธอเนื่องเพราะเธออ้วน
สามีของเธอจึงต้องแสร้างทำเป็นไม่รักเด็กและไล่ทุกคนที่เข้ามาใกล้เพื่อไม่ให้เด็กได้รับอันตรายมากไปกว่านี้ โดยเฉพาะในวันฮัลโลวีน ที่เด็กๆ ต้องมาขอขนมตามบ้าน
หนังเรื่องนี้สะท้อนความคิดของคนอเมริกัน(ก็สร้างโดยอเมริกัน) ที่มีต่อความอ้วนที่กำลังคุกคามสุขภาพของคนอเมริกันอย่างหนัก ว่ากันแมคโดนัลอาจจะชิบหายได้ภายในเวลาไม่กี่ปีนี้ เนื่องเพราะตกเป็นผู้ต้องหาที่ทำให้คนอ้วน จนต้องออกมาเปลี่ยนเมนูเป็นการใหญ่ ความอ้วนและคนอ้วนจึงถูกเหมารวมว่าเป็นบุคคลิกที่ไม่พึงปรารถนา คนอ้วนกลายเป็นความผิดปกติ ไร้สมอง(เพราะไม่รู้จักคบคุมตนเอง) งี่เง่า ขี้เกียจและอารมณ์แปรปรวน สิ่งเหล่านี้ทำให้คนอ้วนกลายเป็นสิ่งที่ไม่ดีงามเช่นเดียวกับคนติดยา
การสร้างาภาพของคนอ้วนแบบนี้ในหนังเด็ก ผมว่าลึกๆ แล้วน่าจะมีผลต่อความคิดของเด็กไม่น้อยทีเดียว แน่นอนหนังต่างสะท้อนภาพจริงในสังคม เช่นเดียวกันกับที่สังคมก็เป็นข้อมูลอ้างอิงอย่างดีให้กับหนัง เด็กๆ จะได้ยินการพูดถึงความอ้วนแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งมองความอ้วนเป็นเรื่องที่ผิดปกติ น่ากลัว
และคนชอบคนอ้วนอย่างสามีของเขา ในหนังก็ถูกทำใหดูเป็นคนที่ดูไม่ปกติเช่นกัน
ในความคิดผม หนังมีความรุนแรงเรื่องการแบ่งแยกแฝงอยู่ลึกๆ
และน่ากลัวว่า ความรุนแรงแบบนี้ บางครั้งมารูปแบบที่แนบเนียนชนิดที่เราอาจไม่ทันคิดถึงมันด้วยซ้ำ

Friday, November 03, 2006

ลืมไปว่าเป็นใคร

StrangeR's Tales
by StrangeR
























ชายคนหนึ่ง มีชีวิตอยู่ด้วยการหวนนึกถึงช่วงวันหยุดหน้าร้อนที่เกาะแสนสวย
เขานึกถึง moment นั้นตอนที่ 'ลืมตาตื่นขึ้นมาโดยลืมไปว่าตัวเองเป็นใคร'
ไม่ต้องทำงาน ไม่ได้เป็นใคร ..ไม่ต้องทำอะไร

เขานึกถึงภาพแรกยามเช้าอันนั้นทุกทุกวัน อย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง
แต่นั่นมันคือซัมเมอร์เมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ภาพเหล่านั้นจึงเริ่มเลือนลางไป เขาพยายามนึกแล้ว นึกอีก แต่ก็จำไม่ค่อยจะได้

เช้าวันหนึ่ง เขาจึงตัดสินใจ ไม่ตื่น อีกเลย (ดีกว่า)
เขานอนไปเรื่อยๆ
ฝันร้ายบ้าง ฝันดีบ้าง ..เขานอนฝัน ไปเรื่อยๆ

Wednesday, November 01, 2006

The Watchers

StrangeR 's Tales
by StrangeR


เจอเพื่อนตัวเล็กยืนแอบอยู่ตรงมุมห้องน้ำทุกวัน
แต่มันชอบเวียนกันมาในหน้าตาต่างกันไป บางทีเป็นจิ้งจก บางทีเป็นแมลงประหลาดตัวเล็กๆ และบางทีเป็น อึ๋ย..แมลงสาบ

ครั้งหนึ่งฉันไปค้างบ้านญาติ อึ่งอ่างตัวหนึ่งยืนตัวพองอยู่ที่มุมห้อง
ลองหยดแชมพูใส่มัน มันเอามือสองข้างขึ้นมาปาดหัว

คุณเชื่อในเรื่อง guard angel ไหม?
(ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมการ์ดแองเจิ้ลจะต้องมาโผล่ในห้องน้ำ)

กลางดึก ขณะกำลังนึกไปต้มน้ำทำมาม่ากิน ฉันพลั้งเหยียบจิ้งจกตัวหนึ่งที่ยืนแอบอยู่ข้างประตู
อุ๊บส์ ขอโทษที!
(ตกลงคุณเป็นการ์ดแองเจิ้ลหรือเปล่า?)