THE KULTURES

Culture / Tech / Talks /

Sunday, October 22, 2006

“บ้านริมทะเล"



. . .

“บ้านริมทะเล"

*ตัวละครและเรื่องราวต่อไปนี้ คือ เรื่องที่เกิดขึ้นจากจินตนาการและความเพ้อฝันของผมเองหลังจากได้ชมภาพยนตร์รักกับผู้หญิงคนหนึ่งและได้ฟังบางคำพูดจากเธอในวันนั้น

เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ตอนที่ภาพยนตร์ il mare เข้าฉายในบ้านเรา เวลานั้นผมเพิ่งเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งที่่ ม.รังสิต ผมเร่งวันเร่งคืนให้หนังเรื่องนี้ เข้าโรงไวๆ เพราะผมมีนัดกับผู้หญิงคนหนึ่งเพื่อไปดูหนังเรื่องนี้ด้วยกัน เธอชื่อว่า “กุ๊กไก่” เป็นรุ่นพี่ที่คณะนิเทศฯเย็นวันนั้นผมตื่นเต้นมากที่จะได้ดูหนังเรื่องนี้ที่เมเจอร์รัชโยธินกับเธอสองคน

il mare จึงเป็นหนังรักเรื่องแรกที่ได้ดูกับผู้หญิงคนที่แอบหวังใจ

แม้ว่ากุ๊กไก่จะเป็นรุ่นพี่ผม เธออยู่ปี 4 อายุเราห่างกัน 3 ปี แต่เธอก็ทำให้ผมเป็นเอามาก อย่างเช่น วันหนึ่งเราไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติกัน แล้ววันนั้นฝนตกหนัก รถติดอยู่บนถนนที่ไหนสักที่ในกรุงเทพฯ

ระหว่างที่เราอยู่ในรถนั้น

ผมถามเธอว่า “พี่กุ๊กไก่ชอบฤดูไหนที่สุดเหรอ ?”
ผมยังจำภาพนั้นได้ดี เธอเอาคางไปเท้าพวงมาลัยแล้วมองไปยังที่ปัดน้ำฝนซึ่งแกว่งไกวไปมาแล้วตอบผมว่า
“เราชอบฤดูฝนแหล่ะ...บุ๊ย มันหมายถึงการเริ่มต้นใหม่”

เพียงแค่ประโยคสั้นๆ เท่านี้เองที่ทำให้ผมตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้อย่างจัง
เวลาช่วงสั้นๆ ต่อมา ก่อนที่กุ๊กไก่จะเรียนจบแล้วไปเรียนต่อที่นิวซีแลนด์ เราทั้งคู่ได้รับอิทธิพลจากหนังเรื่อง il mare จึงลงมือเขียนจดหมายและโปสการ์ดติดต่อกันอย่างสนุก ทั้งที่ทุกวันเราก็ต้องผ่านที่พักของแต่ละคนที่มองเห็นกันอยู่
แต่อารมณ์ของการเขียนและรอคอยจดหมายจากคนที่เราคิดถึงมันวิเศษมากๆ ผมตื่นเต้นทุกครั้งที่เห็นซองจดหมายและลายมือเธอ ผมประณีตแกะมันอย่างช้าๆ ทุกครั้งที่ได้รับจดหมาย

ตัวละครของเราสองคน ดำเนินความรักในหน้าจดหมาย
อย่างโรแมนติก แต่ทว่าโลกของความจริงไม่มีใครรู้ว่าเราคบกัน ผมและเธอได้แต่เขียนจดหมายไปมาถึงกันทุกวันคล้ายไดอารี่ เป็นอยู่อย่างนั้นอยู่ 1 เทมอ จนเธอเรียนจบ ความรู้สึกนั้นมันช่างอบอุ่นแสนจะผูกพันที่ความสัมพันธ์ของคนสองคนค่อยๆ ถักทอบนหน้ากระดาษ

ผมเอาเรื่องอะไรไม่รู้ตั้งมากตั้งมายเขียนถึงกุ๊กไก่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และกุ๊กไก่เองก็เปิดตัวเองให้ผมรู้จักเธอในจดหมาย ในพื้นที่สี่เหลี่ยมนั้นเราคุยกันเหมือนคนที่รู้จักกันมานาน

แต่แล้ววันหนึ่ง,
ด้วยเหตุผลที่เธอต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ วันหนึ่งเธอก็หายไปจากชีวิตผมครับ จดหมายที่เคยมีสม่ำเสมอก็เลือนหายไปในที่สุด จากฉบับสุดท้ายที่ได้รับก็ไม่มีฉบับใหม่มาอีก

เพลง Must Say Good Bye ที่เป็นซาวนด์แทร็คหนังเรื่องอิลมาเร่ ก็ได้กลายเป็นเพลงประกอบชีวิตผม

ผมพยายามสอบถามรุ่นพี่หลายคนเพื่อเสาะหาที่อยู่ของเธอที่นิวซีแลนด์
ถึงขั้นว่าเสิร์จหาในกูเกิลว่าโรงเรียนที่เธอไปเรียนภาษา ที่อยู่คือโรงเรียนอะไร
เพราะรุ่นพี่ บอกว่าเธอเรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้ เมืองนี้ แต่ก็ไม่ชัวร์ว่าใช่รึเปล่า

และแม้ไม่รู้ว่าจดหมายจะถึงมือผู้รับไหม แต่ผมก็ลงมือเขียนความห่วงใยลงไปในกระดาษเหมือนเดิม ด้วยความหวังว่ามันจะถึงมือเธอในสักวัน ตลอดเวลาตอนนั้นผมได้แต่คิดถึงกุ๊กไก่ ผมไม่เคยลืมวันเกิดของเธอ ไม่เคยลืมว่าเธอชอบอะไร ผมรู้ว่าเธอชอบกินบ๊วยเค็มที่เมืองนอกคงไม่มีขาย ผมจึงแพ็คบ๊วยเค็มส่งไปให้ในวันเกิด ที่โรงเรียนนั้นคงงงๆ ว่าทำไมมีของอะไรไม่รู้จากเมืองไทยส่งมาที่นี่

ตอนนั้นผมไม่มีใคร ไม่ได้สนใจใคร ใช้ชีวิตไปวันๆ กลับห้องก็ฟังเพลงเดิมๆ

จนวันหนึ่ง, เวลาผ่านไปเกือบปีผมก็ได้รับ Postcard จากกุ๊กไก่ ผมดีใจมากชนิิดที่บอกไม่ถูกว่ามันดีใจแค่ไหน
นั่นแสดงว่าความพยายามของเราป็นผลแล้ว จดหมายที่ผมเขียนจนแล้วจนแล้วมันถูกส่งไปถูกโรงเรียนจริงๆ

กุ๊กไก่เขียนมาว่าขอโทษและยังห่วงใยผมเสมอ เธอยังจดจำทุกๆ อย่าง เรื่องของเรา วันที่ได้รู้จักกัน เวลาที่คนสองคนรู้จักกัน ผมอ่านไปน้ำตาไหลไป ที่สำคัญเธอเอาจดหมายที่ผมเขียนถึงเธอหลายสิบฉบับไปที่โน่นด้วย เธอเอาไว้อ่านเวลาเหงาๆ คิดถึงเมืองไทย

กุ๊กไก่บอกว่าที่เธอต้องตอบจดหมายผม เพราะว่าทนใจแข็งไม่ได้ เมื่ออ่านเรื่องที่ผมบอกเธอว่าผมยังฟังเพลงเดิมๆ ทุกวัน อ่านจดหมายเดิมๆ ของเรา

ผมเก็บโปสการ์ดใบนั้นไว้กับตัว เปิดอ่านตลอดเวลาที่มีโอกาสจนมันยับยู้ยี่ แล้วก็คิดกับตัวเองว่าจะตอบกลับไปยังไงดี

และแล้วผมก็ต้องตัดใจ เพราะคิดว่าเธอนั้นได้อยู่ ได้ทำ
ในสิ่งที่เธอฝันแล้ว เรื่องของผมและอดีตของเราจะรบกวนสภาวะของเธอเปล่าๆ

ผมจึงแกล้งตอบเธอกลับไปว่า ผมมีความสุขดีและรู้ว่าเรื่องของเราคงเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะว่าถ้าอีกฝ่ายเป็นทุกข์เพราะเห็นเราทุกข์ เราน่าจะลืมๆ กันไปซะ !

เวลานั้น ผมเศร้าโคตร ที่ต้องตอบเธอไปอย่างนั้น เพราะจริงๆ ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นสักหน่อย ผมปรึกษาเพื่อนที่เคยไปเมืองนอกอยู่ทุกวัน ว่าต้องทำยังไงบ้าง ถึงไปเมืองนอกได้ ต้องมีเงินเท่าไหร่ เคยคิดจะเก็บเงินให้มากพอแล้วบินไปหาเธอที่โน่นด้วยซ้ำ
แต่อีกด้านหนึ่งก็ได้แต่ถอนหายใจว่าชีวิตนี้เราคงไม่ได้เจอกันอีก



. . .

บ่อยครั้งเหลือเกินที่ชีวิตคนเราเป็นดังนิยายหรือหนังบางเเรื่องที่เราเคยอ่านเคยดูแม้เราก็ไม่ได้เลือกหรือไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นแต่มันก็เป็น

จากหนึ่งปีก็เป็นสองปีจากสองปีก็เป็นสามปี แจ็คเพื่อนผมคอยปลอบใจและบอกว่า “กุ๊กไก่เองเค้าก็มีทางเดินที่เค้าเลือก มึงเองก็มีทางเดินของมึง ป่านนี้เค้าก็คงมีใครไปแล้ว”

ในที่สุดโลกก็ไม่ได้โหดร้ายนักตอนผมเรียนอยู่ปี 4 กำลังใกล้จะเรียนจบแล้ว ผมก็ได้เจอกับกุ๊กไก่อีกครั้ง เธอกลับมากรุงเทพฯ เพื่อสมัครเป็นแอร์โฮสเตท สายการบินแห่งหนึ่ง


เรานัดเจอกัน ผมไปเจอเธอวันนั้นด้วยใจสั่นๆ ความรู้สึกแปลกๆ มันบอกไม่ถูก เหมือนมันชาๆ ไปทั้งตัว มือเย็นๆ

ผมได้เห็นเธอที่งดงามขึ้น ส่วนเธอก็ได้เห็นผมว่าโตขึ้นกว่าแต่ก่อน ตั้งปี 3 ปีแน่ะที่เราไม่ได้เจอกัน

แต่น่าแปลกที่เหตุการณ์ในวันนั้นผมกลับจดจำมันไม่ค่อยได้ ไม่เหมือนกับตอนที่เราใกล้ชิดกันสมัยผมอยู่ปี 1 ซึ่งไกลห่างกว่าปัจจุบันมากกว่าแต่ผมกลับจำทุกอย่างได้ดีทุกฉากทุกตอน

เวลานั้น ผมก็คิดว่าน่าจะเริ่มต้นใหม่กับเธอหรือว่ารักษาสัมธภาพระหว่างเราไว้แค่คนที่เคยเขียนจดหมายหากัน เป็นความทรงจำที่ดีๆ

ยังไม่ทันที่ผมจะสรุปอะไร แต่เธอก็หนีผมไปอีกครั้งด้วยการสอบเป็นแอร์โฮสเตท สายการบินหนึ่งได้สำเร็จ

หลายวันก่อนตอน 2 ทุ่ม ผมก็รำลึกความหลัง ด้วยการกลับไปที่เมเจอร์รัชโยธินดูหนังเรื่อง The Lake House อีกครั้ง ไม่รู้สิครับ ผมก็คงเหมือนคนอื่นๆ ที่มีวิธีเดินทางกลับไปหาสิ่งดีๆ ในอดีตด้วยการกลับไปที่เก่าๆ ในเวลาที่ความสุขครั้งเก่าๆ เคยเกิดขึ้น

หลังจากออกจากโรง ภาพเก่าๆ ผ่านเข้ามาในหัวผมระหว่างที่นั่งรถกลับบ้าน ผมคิดถึงวันเก่าๆ จับใจ คิดถึงตอนที่ผมได้เจอกับกุ๊กไก่ที่ใต้ตึกคณะ คิดถึงตอนที่นั่งเขียนจดหมายถึงเธอ คิดถึงวันอันเฉอะแฉะที่เราไปงานสัปดาห์หนังสือด้วยกัน
คิดถึงตอนรับน้องปีหนึ่ง คืนที่เรานอนดูดาวที่ทะเลจนสว่าง
หรือการรอคอยที่ไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ตอนเธอไปเรียนต่อเมืองนอก จนถึงตอนที่ได้เจอเธออีกครั้ง ทั้งหมดมันได้ทำให้ผมเข้าใจเรื่องของความรักอีกรูปแบบหนึ่ง

นั่นคือ “การจากลา” ก็ไม่ได้หมายความว่า “เจ็บปวด” ถ้่าเรามีเรื่องดี ๆ ของคนๆนั้นมากพอให้คิดถึง กับสิ่งที่ีดีๆ ที่เคยทำความทรงจำที่ผ่านมา ผมคิดว่าบางครั้ง 'ความรัก' ของคนเรา เราน่าจะปล่อยให้มันได้อยู่กับอดีตที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว เพราะแน่นอนว่ามันคงดีกว่าการที่เราต้องมาเสี่ยงสานต่อกับปัจจุบันและอนาคตที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

ถึงตอนนี้ผมคิดไม่ออกจริงๆ ถ้าตอนนั้นผมเก็บเงินบินไปหาเธอที่โน่นจริงๆ ผมจะเจอไหม หรือถ้าผมกับเธอได้เริ่มต้นใหม่ครั้งที่เจอกันเมื่อ 2 ปีก่อน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าป่านนี้ชีวิตของเราสองคนจะเป็นอย่างไร

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ในวันนี้ มันทำให้ผมพบว่า เวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา อะไรรอบๆ ตัวเราก็เปลี่ยนไป ความคิดเราก็เปลี่ยน หนังเรื่องเดิม พล็อตเดิมก็ยังเปลี่ยนนักแสดง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรบ้านริมทะเลที่ผมกับเธอเคยมองเห็นร่วมกันหลังนั้นก็ยังคงสวยงามดังเดิม



. . .

3 Comments:

  • At 1:53 AM, Anonymous Anonymous said…

    จากคุณพี่สวยนอกซอย

    ในที่สุดก็ได้อ่านเรื่องนี้สักที หลังจากที่คุณน้องเกริ่นมาตั้งนานแสนนาน

    คุณพี่ได้ค้นพบว่าความทรงจำมันก็แค่ความทรงจำ และคงจริงอย่างที่เขาว่ากันว่า ที่คนเรามีความทุกข์กันก็เพราะความจำดีกันเกินไป

    นานแสนนานมาแล้ว คุณพี่เคยจะเป็นจะตายกับผู้ชายคนหนึ่ง อารมณ์ว่ารักเค้ามาก ถ้าไม่ได้แต่งกับคนนี้ ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม (น่าสิ้นดี)แต่พอเลิกรากัน มองย้อนกลับไปทำไมมันถึงเป็นผู้ชายที่ห่วยแตกอย่างนี้วะ และฉันโชคดีแค่ไหนที่ยังมีโอกาสเลือกได้แบบทุกวันนี้

    ความรักที่สวยงามที่สุดคือความรักที่ไม่ได้รับกลับคืนมา คงจะจริงอย่างที่เค้าว่ากันไหมคุณน้อง ล่าสุดเมื่อเช้านี้ คุณพี่ดูเกมส์โชว์ของญี่ปุ่นรายการหนึ่ง คนที่ตกรอบได้ตะโกนประโยคอันเหลือเชื่อออกมาว่า "ข่าวร้ายคือความโรแมนติคของลูกผู้ชาย"

    ช่างเป็นเรื่องที่ผู้หญิงไม่อาจเข้าใจได้เลยจริง ๆ!

     
  • At 9:59 AM, Blogger the aesthetics of loneliness said…

    อ่านแล้วเศร้าหว่ะ หวังว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องแต่งเท่านั้นนะ
    มนุษย์สักคน ไม่ควรจะมีความหลังที่เจ็บปวดและเศร้าขนาดนี้

     
  • At 1:21 AM, Anonymous Anonymous said…

    ขอบคุณมากครับ สำหรับบทความ

     

Post a Comment

<< Home