THE KULTURES

Culture / Tech / Talks /

Friday, October 20, 2006

เรื่องของเด็ก ปมของผู้ใหญ่

เรื่องของเด็ก ปมของผู้ใหญ่

1
ทำนายดักคอไว้, ผมไม่คิดว่า รัฐบาลจะเอาจริงเรื่องห้าม ‘มนุษย์’ ที่ใช้ชีวิตในโลกมาไม่ถึง 25 ปี ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ถ้าให้พูดตรงๆ พ่อของผมซึ่งเป็นทหารนั้น กินเหล้ามาตั้งแต่ยังเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร กินเรื่อยมาจนเข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อย จปร. โรงเรียนเสธ และกินมาตลอดจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต
เพื่อนของพ่อที่เป็นทหารก็กินเหล้า ไม่ได้กินกันธรรมดาๆ แต่กินชนิดที่เรียกได้ว่าถ้าเอาหัวจุ่มลงไปในเหล้าเพื่อให้แอลกอฮอล์ซึมซาบเข้าไปในกระแสเลือดได้ก็คงทำ มีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่กินเหล้า
ผมจึงรู้สึกสนุก ที่ได้เห็นรัฐบาลซึ่งมี ‘อดีตทหาร’ เป็นผู้นำ ตั้งใจจะออกกฎเกณฑ์ประหลาด ห้ามเด็กวัยต่ำกว่า 25 ปี ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ทั้งที่โลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะเรา ‘ไว้ใจ’ ให้เด็กไปเลือกตั้งได้ตั้งแต่อายุ 18 ปี บรรลุนิติภาวะ (แปลว่าเป็นผู้ใหญ่?) ตอนอายุ 20 ปี แถมยังจับเกณฑ์ทหารกันตอน 21 ปี
แต่ไม่ให้กินเหล้า?
ผมจึงสงสัย-มันเป็นโลกแบบไหนกัน
แล้วผมก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น เมื่อได้อ่านเรื่องของลียุงบัก

2
ลียุงบักเป็นนายกเทศมนตรีของกรุงโซล-เกาหลีใต้ เข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2002 เขาได้ชื่อว่าเป็น ‘นักรื้อ’
ฉายานี้ไม่ได้ได้มาเปล่าๆ แต่เขามีพื้นฐานทำงานในบริษัทเกี่ยวกับการก่อสร้างมาก่อน จึงได้ฉายาว่า The Bulldozer เมื่อเข้ามาเป็นนายกเทศมนตรี เขารักษาชื่อเสียงเรื่องการ ‘รื้อ’ เอาไว้ ด้วยการจัดการกรุงโซลเสียใหม่ในหลายพื้นที่
เริ่มต้นด้วยทางน้ำชื่อ Cheonggyecheon (ผมไม่แน่ใจว่าออกเสียงอย่างไร) ซึ่งเป็นทางน้ำเล็กๆที่ไหลผ่านกลางกรุงโซล ที่จริงแล้ว ทางน้ำสายนี้เคยถูกกลบฝังด้วยน้ำมือของเขาเองมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเป็นยุคซิกซ์ตี้ส์ เขาทำงานอยู่กับบริษัทก่อสร้าง และเป็นหนึ่งในคณะทำงานสร้างทางด่วนคร่อมทางน้ำนี้ เขาจัดการออกแบบแผ่นปูปิดทางน้ำ แล้วสร้างทางด่วนยกระดับอยู่ด้านบน มันเป็นทางด่วนที่ใช้ ‘ขนรถ’ ได้ถึงวันละ 168,000 คัน เข้าสู่ใจกลางเมือง มันคือการ ‘พัฒนา’ ขนานใหญ่ของกรุงโซล
แต่แล้วเมื่อเข้ามาเป็นนายกเทศมนตรี ลียุงบักก็เริ่มต้นทำสิ่งตรงกันข้าม
เขารื้อทางด่วนออก รื้อแผ่นปูปิดทางน้ำ เติมน้ำใส่ลงไปในลำธารอีกครั้ง พร้อมทั้งตกแต่งแลนด์สเคปของสองฝั่งน้ำยาว 5.8 กิโลเมตร ใช้เงินไป 360 ล้านเหรียญ เพื่อให้ทางน้ำนี้กลายเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมือง โดยเฉพาะเด็กๆ
เขาบอกว่าตอนนี้น้ำกำลังเย็นเจี๊ยบใสแจ๋ว ซึ่งแปลว่าเป็นน้ำที่ปราศจากมลพิษจากโรงงาน แต่เมื่ออากาศอุ่นขึ้นในหน้าร้อน เด็กๆก็จะได้มาเล่นในลำธารกลางเมือง แล้วเขาก็จะมีความสุข
โซลเคยเป็นเมืองแบบเดียวกับกรุงเทพฯ นั่นก็คือไม่มีสวนสาธารณะ หรือไม่ก็มีแต่ชื่อ แต่ลีไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว เขากำลังสร้าง ‘ป่า’ ที่เรียกว่า โซลฟอร์เรสต์ ขึ้น โดยใช้งบประมาณ 224 ล้านเหรียญ เป็นสวนที่ใหญ่โตเทียบเท่ากับไฮด์ปาร์คของลอนดอน ที่สำคัญก็คืออยู่กลางเมืองด้วย แต่ไม่ใช่แค่ปาร์ค ต่อไปนี้ถ้าทีมเกาหลีใต้เข้าชิงฟุตบอลโลก ทุกคนก็จะได้ไปเชียร์บอลกันที่โซลพลาซ่า ซึ่งเป็นลานหญ้าใจกลางเมืองขนาดใหญ่แห่งใหม่กันแล้ว แถมลียังเพิ่มพิพิธภัณฑ์ใหม่ๆอีกหลายแห่ง ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์เก็บของเก่ามาขาย แต่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีแนวคิดใหม่ๆ เช่นพิพิธภัณฑ์ศิลปะของบริษัทซัมซุง ออกแบบโดยสถาปนิกระดับโลก ซึ่งนอกจากจะให้ความรู้แล้ว ยังกระตุ้นปลุกเร้าให้เด็กๆรู้จักใช้สินค้าตราเกาหลีโดยการ ‘แสดงให้เห็น’ ไม่ใช่แค่ ‘บอกให้ทำ’ เหมือนที่เราเอาแต่โฆษณาปาวๆให้อนุรักษ์ไทย แต่มองไปมองมาก็ต้องตั้งคำถามว่า นอกจากของเก่าๆแล้ว ยังมีอะไรควรค่าให้อนุรักษ์บ้างไหม
ผมได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า ลีให้คุณค่ากับเด็กๆอย่างที่เด็กๆเป็น และพยายามส่งเสริมไลฟ์สไตล์ของเด็กๆ ด้วยการลงมือทำ
ไม่ใช่แค่ใช้ปากสั่ง

3
เราคนไทยมีแนวโน้มที่จะใช้อำนาจควบคุมกันและกันอยู่เสมอด้วยการ ‘สั่ง’ อาทิเช่น สั่งไม่ให้ดื่มเหล้าก่อนอายุ 25 ปี สั่งไม่ให้เด็กผู้หญิงมีเซ็กซ์ก่อนวัยอันควร (ซึ่งเอาเข้าจริงๆก็ไม่รู้ว่า ‘ควร’ คือเมื่อไหร่) และสั่งอื่นๆอีกมากมายเพื่อให้สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เด็ก’ อยู่ในรีตในรอย ซึ่งก็คืออยู่ในการควบคุมของเราอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
แต่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘เด็ก’ โง่และขาดไร้ซึ่งวุฒิภาวะถึงขนาดนั้นเลยเชียวหรือ?
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คำถามที่ต้องย้อนถามกันหนักๆก็คือ แล้วพวกเขาเป็นผลผลิตของใคร...ของสังคมแบบไหน,
ของเมืองแบบไหน?
ในเมืองที่ไม่มีพิพิธภัณฑ์ชั้นดี ไม่มีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมืองที่ไม่มีรั้วกั้น ไม่มีหอศิลป์ที่ดี ไม่มีกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้เงินซื้อ ไม่มีทางเลือกอื่นใดให้เด็กๆ นอกจากการไปเดินห้างและเที่ยวกลางคืน คุณคิดว่าเด็กๆในเมืองนั้นจะใช้ชีวิตแบบไหน
แน่นอน พวกเขาก็ย่อมต้องนัดกันกลางเมือง เดินดูของ ช็อปปิ้งเท่าที่พอจะทำได้ ดูหนังตลาดๆสนุกๆสักเรื่อง กินข้าวร้านหรูที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจากนั้นก็ไปเที่ยวกลางคืน กินเหล้า แล้วก็มีเซ็กซ์
พวกเขาจะนัดกันไปเดินลุยลำธารกลางเมือง ไปฟังคนอ่านบทกวีในสวนสาธารณะ ไปดูงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์มีเซียม ยิบอินซอย ซึ่งมีรถใต้ดินตัดผ่านไปถึง หรือไปสุมหัวกันอยู่ในห้องประชุมในหอสมุดกลางเมืองเพื่อจัดละครประจำปีได้อย่างไร
ในเมื่อเมืองไม่มีสิ่งเหล่านี้ให้พวกเขาเลย
พวกเขาก็ต้องนัดกันไปบริโภค ดื่ม แดก ดริงค์ แล้วก็จบลงบนเตียงด้วยเซ็กซ์ที่น่าเบื่อกับคู่ที่น่าเบื่อ (เพราะขาดไร้ซึ่งวุฒิภาวะและปัญญาพอๆกันไปหมดทั้งเมือง) จนต้องตระเวนหาคู่ใหม่ไปเรื่อยๆทุกคืนๆ
แล้วเราก็ ‘บังอาจ’ ไปห้ามพวกเขาดื่มแอลกอฮอล์
ถ้าไม่มีแอลกอฮอล์ อะไรจะบดบังสติ ทำให้พวกเขามึนเมา และมองเห็นความงามในตัวคู่ที่กำลังคั่วอยู่ได้เล่า

4
คุณคิดว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่ สุดจะ vibrant และมี ‘ทางเลือก’ ให้ไลฟ์สไตล์มากมายนักหรือ
ที่จริง กรุงเทพฯเป็นเมืองที่มีทางเลือกจำกัดมากต่างหาก
และข้อจำกัดนี้ นับวันจะยิ่งขีดวงตัวเองให้แคบลงเรื่อยๆ

2 Comments:

  • At 4:56 PM, Anonymous Anonymous said…

    เห็นด้วยที่สุดครับ !!!

     
  • At 2:09 AM, Blogger the aesthetics of loneliness said…

    การออกมาตรการหรือนโยบายใหม่ ให้ฮือฮาและกลายเป็นข่าวใหญ่
    เป็นอุบายที่ผู้มีอำนาจมักจะใช้ เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นว่าเขามีผลงาน
    แล้วในที่สุด นโยบายฮือฮาพวกนี้ มักจะไม่ค่อยนำประเทศไปสู่อะไรเลย
    สังเกตดูสิ เรามักจะจำความล้มเหลวของนโยบายพวกนี้ไม่ได้
    แต่เรากลับจำความขยันขันแข็ง และดูโดดเด่นของผู้มีอำนาจได้ดี ไม่รู้ทำไม

     

Post a Comment

<< Home