อยู่คนเดียว ถ้าจะดีกว่า...
เมื่อคืนก่อน ผมบังเอิญได้ฟังเพลงผ่านเทปคาสเซ็ท
มันเป็นเพลงเก่าๆ ของ พี่ปั่น ไพบูลย์ เกียรติเขียวแก้ว ที่ชื่อว่า "อยู่คนเดียว"
ผมจำไม่ได้แล้วว่าเป็นเพลงในพ.ศ.ไหน แต่ก็น่าจะนานพอสมควรเลยล่ะ
เป็นเพลงที่ผลิตในยุคที่พี่ปั่นสังกัดและโด่งดังอยู่กับแกรมมี่ฯ
สิ่งที่ผมติดใจในเพลงนี้ นอกจากท่วงทำนอง คำร้อง และเสียงร้องที่ผสานกันอย่างลงตัว ลงตัวในแบบที่ว่าเข้าถึงความรู้สึก และเหมาะสมกับการขับกล่อมอารมณ์ให้ไปในทิศทางที่สงบจิตสงบใจหรือรื่นรมย์ มากกว่าเพลงสมัยนี้ในเนื้อหาเดียวกัน อีกทั้งมีการโชว์ไลน์ดนตรีที่ต้องเรียกว่ากล้าทดลองอีกด้วย
แต่สิ่งที่ผมติดใจในเพลง อยู่คนเดียว จนต้องนำมาบอกเล่านี้ไม่ใช่เรื่องของความไพเราะหรอกครับ
หากเป็นเรื่องของประเด็นและอารมณ์ในเนื้อเพลงมากกว่า
อยู่คนเดียว ของพี่ปั่นนั้นเนื้อเพลงก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษอะไรมากไปกว่าเรื่องของผู้ชายคนนหนึ่งที่ตัดสินใจอยู่คนเดียว เมื่อหญิงสาวหมดใจให้แล้ว แต่พอผมฟังเพลงนี้ไปมาสัก 5-6 รอบ ก็เริ่มรู้สึกถึง "น้ำเสียง" บางอย่างของผู้ชาย ซึ่งถือได้ว่าเป็นอารมณ์ร่วมสมัยของหนุ่มๆ ยุคนั้น
นั่นคือการยึดถือศักดิ์ศรีในแบบหนุ่มโรแมนติกที่เชื่อมั่นในตัวเอง และก็ให้เกียรติในการตัดสินใจ (ทางความรู้สึก)ของผู้หหญิง แม้ว่าน้ำเสียงของเพลงจะมีอาการตัดพ้ออยู่บ้าง แต่ก็แตกต่างเหลือเกินกับอาการคร่ำครวญที่เพลงป๊อปสมัยนี้เป็นกัน
เจตนาและความรู้สึกของ อยู่คนเดียว นั้นคือการยอมรับความเป็นจริงในความสัมพันธ์ ยอมเลือกที่จะโดดเดี่ยวดีกว่าฝืนแบกรับความลำบากใจ บางคนอาจจะมองว่าเนื้อเพลงไม่ได้บอกอะไรถึงขนาดนั้นสักหน่อย แต่ถ้าลองจับ "อารมณ์" ของเพลง และนึกย้อนไปในสมัยที่สังคมยังให้เกียรติต่อความรักของคนหนุ่มสาวอยู่ ผมเชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้สึกร่วมกันได้ไม่ยาก
ฟังแล้วรู้สึกเสียดายนะครับ ที่อาการ "อยู่คนเดียว" แบบในคราก่อนแทบจะหาไม่ได้อีกแล้วในยุคที่ "ว่างแล้ว ช่วยโทรกลับ" อย่างสมัยนี้ ผมไม่ได้ต้องการจะรำลึกหรือถวิลหาอดีต หรืออยากสนับสนุนให้พี่ปั่นจัดคอนเสิร์ตอีกครั้งนะครับ (แต่ถ้าเกิดขึ้นจริง ผมจะไปซื้อตั๋วคนแรกๆ คอยดูสิ)แต่ผมยอมรับว่ากำลังโหยหาความรู้สึกของผู้ชายที่เข้มแข็ง ใจแข็งพอสำหรับความโดดเดี่ยว (เพียงชั่วคราว)และกล้าที่จะเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริง โดยไม่เข้าข้างตัวเองหรือพยายามยื้อยุดคนอื่นไว้
ความรู้สึกก้อนนี้ทำให้ผมนึกถึงหนังสั้นเรื่อง 12.20 ของเป็นเอก รัตนเรือง ที่มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ประมาณว่า
...ถ้าคุณจะบอกรักใครสักคนที่อยู่ข้างๆ คุณ คุณก็จงรีบบอกเธอเสียก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้บอก และถ้าเธอรับรักคุณแล้ว ต่อมาเลิกราจากคุณไป หรือเธอไปมีรักใหม่ ก็อย่าพร่ำเพ้อจนทำให้เธอลำบากใจ ขอให้คุณจงเก็บความอับอายและความเศร้าใจไว้เพียงลำพัง เหมือนช่วงเวลาก่อนที่คุณจะบอกรักต่อเธอ...
คืนวันนั้นเองที่ผมอยากจะ "อยู่คนเดียว" แบบนั้นให้ได้บ้าง
แม้ระหว่างที่ฟังเพลงนี้ จะมีใครบางคนนั่งฟังอยู่ไม่ห่างก็ตามที
jeeno บอกเล่า
มันเป็นเพลงเก่าๆ ของ พี่ปั่น ไพบูลย์ เกียรติเขียวแก้ว ที่ชื่อว่า "อยู่คนเดียว"
ผมจำไม่ได้แล้วว่าเป็นเพลงในพ.ศ.ไหน แต่ก็น่าจะนานพอสมควรเลยล่ะ
เป็นเพลงที่ผลิตในยุคที่พี่ปั่นสังกัดและโด่งดังอยู่กับแกรมมี่ฯ
สิ่งที่ผมติดใจในเพลงนี้ นอกจากท่วงทำนอง คำร้อง และเสียงร้องที่ผสานกันอย่างลงตัว ลงตัวในแบบที่ว่าเข้าถึงความรู้สึก และเหมาะสมกับการขับกล่อมอารมณ์ให้ไปในทิศทางที่สงบจิตสงบใจหรือรื่นรมย์ มากกว่าเพลงสมัยนี้ในเนื้อหาเดียวกัน อีกทั้งมีการโชว์ไลน์ดนตรีที่ต้องเรียกว่ากล้าทดลองอีกด้วย
แต่สิ่งที่ผมติดใจในเพลง อยู่คนเดียว จนต้องนำมาบอกเล่านี้ไม่ใช่เรื่องของความไพเราะหรอกครับ
หากเป็นเรื่องของประเด็นและอารมณ์ในเนื้อเพลงมากกว่า
อยู่คนเดียว ของพี่ปั่นนั้นเนื้อเพลงก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษอะไรมากไปกว่าเรื่องของผู้ชายคนนหนึ่งที่ตัดสินใจอยู่คนเดียว เมื่อหญิงสาวหมดใจให้แล้ว แต่พอผมฟังเพลงนี้ไปมาสัก 5-6 รอบ ก็เริ่มรู้สึกถึง "น้ำเสียง" บางอย่างของผู้ชาย ซึ่งถือได้ว่าเป็นอารมณ์ร่วมสมัยของหนุ่มๆ ยุคนั้น
นั่นคือการยึดถือศักดิ์ศรีในแบบหนุ่มโรแมนติกที่เชื่อมั่นในตัวเอง และก็ให้เกียรติในการตัดสินใจ (ทางความรู้สึก)ของผู้หหญิง แม้ว่าน้ำเสียงของเพลงจะมีอาการตัดพ้ออยู่บ้าง แต่ก็แตกต่างเหลือเกินกับอาการคร่ำครวญที่เพลงป๊อปสมัยนี้เป็นกัน
เจตนาและความรู้สึกของ อยู่คนเดียว นั้นคือการยอมรับความเป็นจริงในความสัมพันธ์ ยอมเลือกที่จะโดดเดี่ยวดีกว่าฝืนแบกรับความลำบากใจ บางคนอาจจะมองว่าเนื้อเพลงไม่ได้บอกอะไรถึงขนาดนั้นสักหน่อย แต่ถ้าลองจับ "อารมณ์" ของเพลง และนึกย้อนไปในสมัยที่สังคมยังให้เกียรติต่อความรักของคนหนุ่มสาวอยู่ ผมเชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้สึกร่วมกันได้ไม่ยาก
ฟังแล้วรู้สึกเสียดายนะครับ ที่อาการ "อยู่คนเดียว" แบบในคราก่อนแทบจะหาไม่ได้อีกแล้วในยุคที่ "ว่างแล้ว ช่วยโทรกลับ" อย่างสมัยนี้ ผมไม่ได้ต้องการจะรำลึกหรือถวิลหาอดีต หรืออยากสนับสนุนให้พี่ปั่นจัดคอนเสิร์ตอีกครั้งนะครับ (แต่ถ้าเกิดขึ้นจริง ผมจะไปซื้อตั๋วคนแรกๆ คอยดูสิ)แต่ผมยอมรับว่ากำลังโหยหาความรู้สึกของผู้ชายที่เข้มแข็ง ใจแข็งพอสำหรับความโดดเดี่ยว (เพียงชั่วคราว)และกล้าที่จะเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริง โดยไม่เข้าข้างตัวเองหรือพยายามยื้อยุดคนอื่นไว้
ความรู้สึกก้อนนี้ทำให้ผมนึกถึงหนังสั้นเรื่อง 12.20 ของเป็นเอก รัตนเรือง ที่มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ประมาณว่า
...ถ้าคุณจะบอกรักใครสักคนที่อยู่ข้างๆ คุณ คุณก็จงรีบบอกเธอเสียก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้บอก และถ้าเธอรับรักคุณแล้ว ต่อมาเลิกราจากคุณไป หรือเธอไปมีรักใหม่ ก็อย่าพร่ำเพ้อจนทำให้เธอลำบากใจ ขอให้คุณจงเก็บความอับอายและความเศร้าใจไว้เพียงลำพัง เหมือนช่วงเวลาก่อนที่คุณจะบอกรักต่อเธอ...
คืนวันนั้นเองที่ผมอยากจะ "อยู่คนเดียว" แบบนั้นให้ได้บ้าง
แม้ระหว่างที่ฟังเพลงนี้ จะมีใครบางคนนั่งฟังอยู่ไม่ห่างก็ตามที
jeeno บอกเล่า
4 Comments:
At 10:05 PM,
Anonymous said…
จากสวยนอกซอย
เราไม่ได้ฟังเพลงจากคาสเซ็ทมานานมาก อยากฟังบ้างจัง วานจีโน่เอาม้วนมาให้ยืมหน่อยดิ อิๆๆๆ
At 11:18 PM,
the aesthetics of loneliness said…
มิวสิควิดีโอเพลงนี้ เขาทำเป็นภาพขาวดำ ปั่นแต่งตัวย้อนยุค มีแดนเซอร์ใส่มินิสเกิ๊ตและทำผมพองๆ มาเต้นอยู่ข้างหลัง
คาดว่าน่าจะกำกับโดยพี่เก้งนะ ไม่แน่ใจ เพราะปั่นยุคนั้นอยู่ค่าย ครีเอเทีย และมีเพลงเพราะแทบทั้งม้วน
At 12:50 AM,
gmplusclub said…
เกิดไม่ทันครับลุงๆป้าๆ พอดีรุ่นเดียวกับน้องพลับ
"อยู่คนเดียว" น่ะไม่เท่าไร
แต่ "ไม่อยากนอนคนเดียว" สิ...
หมายถึงเพลง ไม่มีอะไร แต่ถ้าแถมคนมาด้วยก็ยินดี ฮ่าๆๆ (รักนวลเสนอตัวสุดฤทธิ์)
พักนี้ตื่นมาตอนเช้าไม่รู้เป็นอะไร ต้องหาเพลงมาลีวัลย์มาฟังทุกที (อ้าว! ความแตกเพิ่งบอกว่ารุ่นน้องพลับหยกๆ)
สารภาพก็ได้ว่าชอบ"พี่"ปั่นเหมือนกัน ชอบเพลงบอกรัก (ไม่มีคำว่ารักในเพลงสักคำ หวานมาก) เฝ้าคอย แล้วก็เพลงอะไรน้า...ความรักตัวเดียวเท่านั้นเองที่บรรเลงในหัวใจ
จริงๆ ปั่นกับมาลีวัลย์นี่ก็ยุคใกล้ๆกันนะครับ แต่เพลงของมาลีวัลย์เป็นเพลงที่โคตรเมียน้อยเลย ฮ่าๆ
สารภาพอีกว่านอกจากปั่น มาลีวัลย์แล้วยังชอบนันทิดา ตั้ม สมประสงค์ เต๋อ เรวัติ ธเนศ ฯลฯ
แต่ที่จี๊ดมากคือเพลง "เกลียดคนสวย" ของฉันทนา
"ยิ่งคิดยิ่งให้ เกลียดๆ เกลี๊ยด เกลียดๆๆ เกลี๊ยด เกลียดๆๆๆ ฉันแสนเกลียดชังคนสวยทุกคน"
พอแล้ว เดี๋ยวรู้ว่าจริงๆเราก็ร่วมสมัย อิอิ
ท้อฟฟี่...ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือน"มาช่า"
At 1:34 PM,
gmplusclub said…
จริงๆ มีนักมานุยวิทยาเคยตั้งคำถามกับสังคามนษย์ของเราว่า ตกลงคนเราเป็นสัตย์สันโดด หรือว่าสัตว์สังคมกันแน่ จริงๆ ผมว่าคนนี่มีกรรมที่ดันรู้สำนึกมากกว่าสัญชาติญาณ ก็เลยเป็นปัญหาที่เราแก้ไม่ได้ เคยคุยกับแฟรเหมือนกันว่าจริงๆ แล้วถึงระยะหนึ่งเราทั้งคู่คงอยากอยู่คนเดียว
แต่มาคิดอีกที เราทั้งคู่ก็ขี้ขลาด(ความรู้สึกขี้ขลาดก็มาจากความคิดระดับสำนึก)เกินไปที่จะอยู่คนเดียว
เราเลยรอมชอมกันว่า
ขออยู่เงียบคนเดียว
แต่มีคุณนั่งข้างๆ
ซึ่งผมว่าโอเคมากเลย
Post a Comment
<< Home