THE KULTURES

Culture / Tech / Talks /

Wednesday, April 18, 2007

ทุกคนครับ ทุกคน...

ทุกคนครับ ทุกคน...

จริงๆ การเขียนกระทู้อันนี้ มันเริ่มจากผมนั่งหาข้อมูลและเรื่องนายกรัฐมนตรีของเวียดนาม
(นายเหงียน ตัน ดอง เป็นนายกคนที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์เวียดนาม และเด่นมากเรื่องมีหัวการตลาด การค้าพอๆ กับเรื่องควาวมตงฉินของแก) ตอนนี้ไทยเราโดนเอาไปเปรียบเทียบกับเวียดนามค่อนข้างบ่อยว่าเรากำลังจะโดนแซงในอีกไม่ถึง 20 ปีนี้(หรืออาจเร็วกว่านั้น ซึ่งก็เป็นไปได้สูง) ตอนนี้เวียดนามกำลังลงทุนหลายต่อหลายอย่างเพื่อรองรับ การเติบโต ปีนี้เขาเริ่มสร้างสนามบินใหม่ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ใช้เวลาสร้าง
ประมาณ 8 ปี ไม่ใช่ 42 ปีอย่างบางประเทศ เร่งพัฒนาเรื่อง Infra structure มีการจัดตั้งศูนย์ที่เขาเรียกว่า Veitnam academy of social science เป็นศูนย์เหมือนๆ กับ TDRI บ้านเรา ทำหน้าที่ในการวิจัยทุกๆ อย่างที่รัฐสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในการกำหนดนโยบายประเทศ ศูนย์นี้ตั้งเมื่อปี 2002 และเติบโตเร็วมาก
ตอนนี้มีนักวิทยาศาสตร์ทำงานอยู่ 1500 คน ซึงเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรกว่า 80 ล้านก็ถือว่ามาก เพราะจีนก็มีศูนย์แบบนี้ แต่มีนักวิทยาศาสตร์อยู่ 2200 คน

นอกเหนือจากนายกที่เก่งเรื่องการบริหารและหัวการตลาด(การจัดประชุม เอเปคและการเจรจาเข้าร่วม WTO ได้ของเขา ทำให้เวียดนามมีโอกาส"ประชาสัมพันธ์" ตัวเองได้มาก) ว่ากันว่าการให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาการศึกษานี่เอง ที่ทำให้เวียดนามโตอย่างรวดเร็วและมีทิศทาง ขณะที่บ้านเราระบบการศึกษายังเป็นคำถามอยู่
เวียดนามขึ้นมาเป็นประเทศที่สองของโลกที่ญี่ปุ่นสนใจอยากลงทุนมากที่สุดรองจากจีน ตำแหน่งนี้เคยเป็นของไทย แต่ตอนนี้ไทยเราตกไปอยู่ที่ท้ายๆ เพราะปัจจัยด้านการเมืองที่วุ่นวายไม่รู้จบ และยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ว่าจะรุ่งโรจน์จริงไหม

มีคนตั้งข้อสังเกตว่าหากเมืองไทยยังมีระบบการเมืองแบบนี้ ยังแก้ปัญหาเรื่องคอรัปชั่นไม่ได้ และคิดนโยบาย ทำนโยบายเหมือนเด็กเล่นขายของ ไทยก็ไม่มีทางไปถึงไหน และในขณะที่เศรษฐกิจของเวียดนามโตระดับเกือบ 10 เปอร์เซ็นต์ทุกๆ ปี การเมืองเป็นเรื่องใหญ่กว่าทุกอย่างครับ มากกว่าระบบการเงิน
หรือระบบเศรษฐกิจเสียอีก

หากเราจะสังเกตกันรอบๆ เมืองไทย จะพบว่า ประเทศที่สามารถพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดอย่าง
ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกงหรือสิงคโปร์ สิ่งสำคัญก็คือ การมีรัฐบาลพรรคเดียวบริหารแบบต่อเนื่องและยาวนาน ทำให้นโยบายไม่สะดุด ไม่ต้องนับหนึ่งกันใหม่เวลาเปลี่ยนรัฐบาล ที่สำคัญคือต้องปราบปรามคอรัปชั่นได้อย่างเด็ดขาดเหมือนให้คนเปลี่ยนมาเรียกยาบ้าแทนยาม้า

คำพูดของ คุณวิกรม เจ้าของอมตะนครในรายการโทรทัศน์รายกการหนึ่ง ที่ผมได้ดูตอนพบค่ำ เล่าถึงประสบการณ์กว่าสิบปีที่ทำงานกับคนเวียดนามนานหลายสิบปี เขาพบอย่างหนึ่งว่าแววตาของคนเวียดนามต่างจากคนไทยมาก "คนเวียดนามมีแววตาที่มุ่งมั่น ใฝ่รู้ กระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นที่ถูกใจของนักธุรกิจที่ได้เข้าไปติดต่อกับเวียดนาม เพราะเขาเห็นพลัง เห็นความกระหายอยากรู้ แล้วคนเวียดนามมี creative mind ดี
กล้าคิดกล้าทำ นักธุรกกิจญี่ปุ่นหลายคนที่เคนมาติดต่อกับราชการที่เมืองไทย เขามักบอกผมเสมอๆ ว่าคนไทยไม่มีสายตาแบบนั้น บางทีเหม่อลอย บางทีไม่กล้า ไม่กระตือรือร้น โดยเฉพาะข้าราขการไทย แทบหาไม่ได้
แววตาที่อยากทำงาน แววตาที่กระตือรือร้น มุ่งมั่นแบบนั้น" คุณวิกรมบอกว่าในขณะที่คนไทยเดินทอดน่องกันตอนเลิกงาน แต่ที่เวียดนาเขาไม่เคยเห็นใครทำอย่างนั้น

ครั้งหนึ่ง
คนไทยเราครั้งหนึ่งเคยเรียกคนจีนแบบดูถูกว่าพวกเจ๊ก เราเคยเรียกคนเวียดนามด้วยคำว่า ไอ้พวกเวียดกง
ผมไม่รู้ว่าคนเวียดนามเขาเรียกเราว่าอะไร และคนจีนเรียกเราว่า "ไทกั่วเหยิน" นั้น เขาจะเราด้วยน้ำเสียงแบบเดียวกับ ที่เราพูดว่าเจ๊กหรือเปล่า ผมไม่รู้ว่านี่เป็นข้อดี หรือเป็นข้อเสียของเรา กับการที่เราสามารถเป็นชาติที่เพิกเฉยในบางเรื่องได้สบายๆ (อย่างคอรัปชั่นหรือวัฒนธรรมแบบปากอย่างใจอย่าง) และใส่ใจกับเรื่องบางเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง(ห้ามซื้อแอลกอฮอลล์ตอนกลางวัน ในร้านขายของ1)
เราอยู่ในโลกที่ผูกติดไปกับกลไกตลาด และตอนนี้เราเป็นใส้กลางของแซนวิช ที่ไปไหนไม่ได้
เราคนไทยจะทำอย่างไร เราจะช่วยประเทศไทยเราอย่างไร เราจะมีแววตาแห่งความกระตือรือร้นแบบนั้นได้ไหม
นักศึกษาที่เรียนอยู่ตอนนี้เขาคิดอะไรอย่างไรกับชาติและอนาคต
แล้วเราอยากให้คนอื่นเรียกเราว่าอย่างไร?
ข้อนี้ผมอยากรู้จริงๆ

Thursday, February 22, 2007

“Early Syndrome”





. . .


เมื่อครู่เพิ่งกดโทรศัพท์วางหูจากเพื่อนครับ ปลายทางรายนี้โทรฯ มาบอกว่า “เรื่องที่คุยกันวันก่อน มันเป็นจริงแล้ว นี่…ถ้าไม่สังเกตไม่รู้นะ” ผมได้แต่เออออฟังคุณเพื่อนบ่นเรื่องโน่นเรื่องนี้ต่างๆ นานา ผิดกลับครั้งก่อนที่ผมเองเป็นคนพูดอยู่ฝ่ายเดียว เพื่อนได้แต่ฟังและพยักหน้า “อืม-อืม”

เราคุยกันเรื่อง “Early Syndrome” ครับ อย่าเพิ่งทำหน้างงแล้วพาลไม่อ่านต่อนะครับ เพราะเรื่องนี้สำคัญมากและเกี่ยวกับพวกเราทุกคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต เครื่องมือสื่อสารไฮเทคทุกชนิด เอาเป็นว่าถ้าคุณมีอีเมล์หรือชอบส่ง SMS มันก็เกี่ยวกับคุณแล้ว ไม่แน่ว่าตอนที่คุณอ่านคอลัมน์นี้อยู่ คุณก็อาจอยู่ในกลุ่มอาการ Early Syndrome อยู่ก็ได้ บรรทัดต่อไปเป็นรายละเอียดและวิธีตรวจอาการอย่างคร่าวๆ ที่สำคัญบอกไว้ก่อนว่าโรคนี้ ยุคนี้ถ้าเป็นแล้วไม่มีทางรักษาให้หายขาด (!)

“Early Syndrome” คำนี้ฟังดูทั้งคุ้นและไม่คุ้นใช่ไหม Early Syndrome ไม่ใช่ Down Syndrome โรคที่เกิดจากพันธุกรรมความผิดปรกติของโครโมโซมที่ทำให้ทารกที่เกิดมาตาเฉียง จมูกแบน อย่างนั้นนะครับแต่ Early Syndrome เป็นโรคของคนยุคสมัยใหม่ที่อยู่ตามเมโทรหัวเมืองใหญ่ของโลก (กรุงเทพฯก็ใช่)

อธิบายให้ง่ายกว่านั้น Early Syndrome เป็นโรคที่เกิดจากเทคโนโลยีที่ทันสมัยสุดๆ ส่งให้คนเราสะดวกสบายทุกอย่าง แต่ในทางกลับกันก็ทำให้ประชากรในเครือข่าย “รอคอยอะไรไม่เป็น” กระวนกระวาย ร้อนรน รีบเร่งไปต่างๆ นานา

ยกตัวอย่างเรื่องรอบตัวๆ ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ตลอดจนการจราจรในโลกไซเบอร์ ทุกอย่างกำลังเคลื่อนที่เข้าไปในคอนเซ็ปต์ Faster to Fastest (เร็วกว่า แรงกว่า ถึง เร็วที่สุด ) แน่นอนปัจจุบันและอนาคตเรากำลังจะมีชิพประมวลผลคอมพิวเตอร์ที่ทำงานเร็วขึ้นเรื่อยๆ ชนิดที่คุณซื้อวันนี้ พรุ่งสายๆ ก็ตกรุ่น (ทั้งที่เมื่อก่อนอินเทลเคยประกาศบอกว่า ชิพประมวลผลคอมพิวเตอร์จะมีความเร็วขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัวเมื่อเวลาผ่านไป 18 เดือน คำพูดนี้ผมได้ยินก่อนยุค Y2K โน่น)

หรือระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่เมื่อทศวรรษก่อนเรามีโมเด็มที่รันได้ 56 Kbps ก็ถือว่าหรูแล้ว แต่ปัจจุบันทุกบ้านโละมาใช้ ADSL ไฮสปีดอินเตอร์เน็ตที่ระดับชิลล์ ชิลล์ ก็ต้อง 512 kbps ทิ้งของเก่าไปอย่างไม่ดูดำดูดี จะมีใครหวนกลับไปต่ออินเตอร์เน็ตความเร็วระดับนั้นอีกละ ลองถามใจตัวเองดู

“Slow is Lost in Forever” “ความล่าช้ากำลังจะสูญพันธ์ไปตลอดกาล” เพราะเทคโนโลยีกำลังบดขยี้สิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา ผมเคยอ่านเจอประโยคนี้ในบทบรรณาธิการนิตยสาร Wired สิ่งพิมพ์สุดเดิร์นด้านนวัตกรรมและไอทีเล่มสำคัญของโลก

หมาดๆ เมื่อหัวค่ำผมเข้าไปเตร็ดเตร่ในโลกไซเบอร์เหมือนทุกวัน เจอหลายกระทู้ที่ชื่นชม Youtube.com รวมไปถึงนิตยสารไทม์ที่ยกย่องให้ You หรือผู้ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นบุคคลแห่งปี 2006 แต่เคยมีใครคิดอีกด้านไหมว่า “ศัตรูที่จะมาฆ่า Youtube อย่างเงียบๆ ก็คือ ความรีบเร่ง”

เพื่อนผมหลายคนไม่อาจทนรอคอยให้การดาวน์โหลดสมบูรณ์เพื่อดูคลิปเหล่านั้น พวกเขามักจะปิดไปก่อนพร้อมบอกว่า Very Very Slow ! หรือช้าโคตรๆ นั่นไงครับ คือ การป่วยเป็น Early Syndrome คนสมัยนี้เป็นอะไรที่รอไม่ได้ มากกว่านั้นโรคนี้ยังรุกลามและระบาดหนัก ก็คุณเพื่อนผมที่โทรฯ มาเมื่อ 15 นาทีที่แล้วตอนต้นบทความ เขาบอกว่าเมื่อเย็นกำลังเคลียร์กับคุณแฟนเรื่องรับโทรศัพท์ช้า เขาปล่อยให้เธอรอนานหลายตุ้ด โทรฯมาไม่ยอมรับสักที ให้ฟังแต่เพลงรอสายเดิมๆ ทั้งที่เขารับช้าไปแค่ 1 นาทีเศษ (การรอใครให้มารับสายในเวลานาทีเศษก็ถือว่านานมากเลยสำหรับการโทรฯหาใครสักคนในชั่วโมงนี้)

จากเรื่องนี้ผมตั้งคำถามเล่นๆ ว่า ทำไมคนเมืองถึงเคลื่อนชีวิตกันเร่งรีบเต็มสปีดกันขนาดนี้ พวกเขาต้องการอะไรที่ตอบสนองได้รวดเร็ว ส่ง SMS เข้ารายการทีวีก็ต้องขึ้นให้เห็นเดี๋ยวนี้นะ! ตามหน้าโฆษณาสินค้าก็ต่างพร้อมใจกันระบุคุณสมบัติที่บอกว่า สะดวก - รวดเร็วกว่า- ง่ายดาย- ทันใจ ฯลฯ ทั้งนี้ก็เป็นกลุ่มคำที่ว่าด้วย “การไปถึงความสำเร็จรูปอย่างเร่งด่วน” ทุกวันนี้แม้แต่บะหมี่สำเร็จรูปก็ชงทานได้ใน 2 นาที เส้นก็จะเหนียวนุ่ม รสชาติกลมกล่อม อีก 6 เดือนข้างหน้าอาจหดสั้นเหลือแค่นาทีครึ่งจนครึ่งนาทีก็เป็นได้

ให้ท้ายกันเข้าไปเถอะครับ นี่แหละตัวอย่างของสังคม Early Syndrome เอาง่ายๆ ว่าถ้าคุณกดปุ่มเรียกลิฟต์ซ้ำหลายๆ ครั้งทั้งที่กดไปแล้ว

อ่าว…ถ้าถามว่าแล้วมันจะมีผลอะไรกับชีวิตมากไหมถ้าเป็นไอ้โรคนี้ ก็ตอบว่า มันจะทำให้คุณไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตที่ช้ากว่าเดิมได้อีกแล้ว และคุณต้องเพียรหาสปีดที่เร็วขึ้นๆ ให้กับชีวิตผ่านเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ หรือระบบต่างๆ Life in The fast Lane อยู่ตลอดเวลา“ เหนื่อยไหม สิ่งที่เธอทำอยู่” ผมคิดถึงเพลงพี่เบิร์ดขึ้นมาตะหงิดๆ ฮิฮิ

แต่บทความนี้ก็ไม่ได้ใจร้ายปล่อยเกาะผู้อ่านหรอกนะครับ เมื่อแจ้งให้ทราบในฐานะที่คุณตกอยู่ในสถานการณ์ Early Syndrome เราก็มีข้อความสั้นๆ ปรัมปรา ที่จะจบใน

ย่อหน้านี่ว่า “Very Good Things Come to Those Who Wait”

สิ่งที่(โคตรจะ)ดีมักมาถึงคนที่รอได้

. . .


Post by buiberry

Wednesday, February 21, 2007

Love at first sight & Lust at first sight?


1
“เชี่ย! นี่มันชีวิตกูชัดๆเลย”
เมื่อคืนเป็นอีกคืนที่ผมปล่อยตัวเองไปกับโลกของ Sex & the City (อย่าถามเลยว่าผมเหมือนใคร) ตอนที่ผมดูชื่อ ‘Chicken Dance’ ว่าด้วยเรื่องเพื่อนของชาร์ล็อตซึ่งตกหลุมรักคู่เดทของมิแรนด้าทันทีที่พบ และในอีก 2 อาทิตย์ต่อมา เขาและเธอก็ตกลงแต่งงานกันอย่างสายฟ้าแลบ แครีเล่าเรื่องนี้ให้บิ๊กฟัง คำพูดของบิ๊กทำเอาผมเก็บไปคิดวนเวียนอยู่ทั้งคืน
“I don’t believe in love at first sight but I believe in lust at first sight”
จบประโยคนี้ปั๊บ ก็ตัดเป็นความคิดเห็นของสาวๆหลายๆคน ผู้หญิงคนหนึ่งพูดไว้อย่างน่าสนใจว่า
“คนที่ไม่เชื่อในรักแรกพบก็เพราะเขายังไม่เคยเจอกับตัวเองน่ะสิ”

2
บ่ายแก่ๆของวันอังคารที่น่าเบื่อ ผมนั่งทำงานอยู่เงียบๆ จำไม่ได้ว่าพี่ๆที่นั่งเม้าท์อยู่ใกล้ๆคุยกันเรื่องอะไรอยู่ แต่มีประโยคหนึ่งจากบก.ที่ดันมาสะดุดหูผมเอาจังเบ้อเร่อ และผมก็อดคิดถึงมันไม่ได้
"ผู้ชายไม่ได้ต้องการความรักหรอก แค่ต้องการเซ็กส์และความเข้าใจเท่านั้นเอง"


3
เท่าที่ผมเห็น ผู้ชายมักสามารถแยกความรักและความใคร่ได้อย่างชัดเจน ผู้ชายมีผู้หญิงได้หลายคน และแต่ละคนล้วนมีตำแหน่งแห่งที่อยู่ในใจของผู้ชาย เช่น ผู้หญิงคนนี้มีไว้เพื่อบูชา ผู้หญิงคนนี้มีไว้เป็นนางบำเรอ ส่วนผู้หญิงคนนั้นมีไว้เป็นภรรยา ฯลฯ ในขณะที่ผู้หญิงถูกสอนให้หลอมรวมความรักกับความใคร่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เช่น ผู้หญิงมักเชื่อว่าต้องมีเซ็กส์กับผู้ชายที่เธอรักเท่านั้น ผู้หญิงจึงใช้เซ็กส์เป็นเครื่องแสดงว่าเธอรักใครสักคนแล้ว และพร้อมจะเป็นของของเขา (ซึ่งเอาจริงๆ เธอไม่ใช่ “ของ” และเธอก็ไม่ใช่ “ของใคร” สักหน่อย)

ไม่ได้บอกว่าใครดีหรือไม่ดีกว่ากัน เพียงแต่ผมรู้สึกว่า ทั้งรักและใคร่มันน่าจะมาเป็นเนื้อเดียวกันไม่ใช่หรือ (หมายถึงในความสัมพันธ์แบบผัวเมียน่ะนะ) มันคงไม่ได้แยกกันเป็นขาวกับดำได้หมดหรอก ซึ่งนั่นแปลว่า รักไม่ใช่สิ่งที่ประเสริฐที่สุด และใคร่ก็ไม่ใช่สิ่งที่สกปรกที่สุด ผมนึกไม่ค่อยออกว่ารักแบบไม่มีใคร่เป็นอย่างไร ยังไงมันก็มีความใคร่เจืออยู่ เพียงแต่จะมากจะน้อยเท่านั้น

แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าของมันมาคู่กันจริง แล้วเราจะอธิบายความสัมพันธ์แบบใคร่ล้วนๆซึ่งมีอยู่จริงได้อย่างไรล่ะ เราเชื่อกันว่าความสัมพันธ์แบบใคร่ล้วนๆไม่มีวันยืดยาว เพราะไม่ได้มีความรักเกาะเกี่ยวผูกพันกันอยู่ แต่เคยได้ยินความสัมพันธ์แบบ ‘Fuck buddy’ ไหมครับ Fuck buddy ก็คือคู่เดทที่ดูท่าว่าจะไปไม่รอดในเรื่องรัก แต่เข้าขากันดีเหลือเกินเวลาอยู่บนเตียง คุณทั้งสอง (อย่างน้อยก็สอง!) จึงเกี่ยวพันกันด้วยเซ็กส์ (ที่ไม่มีรัก) และเท่าที่ผมทราบ Fuck buddy หลายคู่ก็ยังคงเป็น buddy ได้ยาวนานทีเดียว บางที Fuck buddy ก็อาจจะเป็นเหมือนที่พี่บก.บอกว่า ไม่ต้องการความรัก แต่ต้องการเซ็กส์และความเข้าใจเท่านั้นเอง

4
ผมเคยมีทั้ง Love at first sight และ Lust at first sight ผมคิดอย่างบิ๊กว่า Lust at first sight มีจริง แต่ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่เรารู้สึกในวินาทีที่สองสายตาประสานกันมันคือ Love หรือ Lust กันแน่ ถ้าความรักคือความรู้สึกกำซาบลึกซึ้ง คนเราจะสามารถรักใครทันทีเชียวหรือ ผมคิดเอาเองว่าไอ้ความรู้สึกนั้นมันน่าจะเป็น Lust at first sight เพียงแต่ Lust นี้มันอาจจะต่างจาก Lust อื่นๆที่เคยพบ อาจเป็น Lust ที่วางตัวอยู่ใกล้ Love สักหน่อยจนพัฒนาเป็น Love ได้ ผมคิดว่าความรักจะเกิดขึ้นได้น่าจะต้องใช้เวลามากกว่าเพียงชั่ววินาทีของสายตา

เคยมีนักวิทยาศาสตร์พูดว่า ทั้งความรักและความใคร่ก็เกิดจากการหลั่งสารเคมีในสมองเหมือนกันนั่นแหละ

คุณยังจะรักผมไหมครับ ถ้าความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมีให้คุณเกิดจากต่อมในสมองมันดันสั่งการให้เป็นแบบนั้น...เท่านั้นเอง
Toffy in Love

Sunday, December 24, 2006

บอร์ดเงียบเหงาเกินไปหรือเปล่า


เข้าใจว่าคงเป็นช่วงเวลาของการนับถอยหลังเพื่อวันหยุดยาว การเริ่มต้นใหม่ วันแห่งการดื่มกินอีกครั้ง หรืออะไรก็แล้วแต่
ทุกๆ คนก็เลยดูเงียบเหงากันไปหมด เพราะคงอยากให้ถึงวันนั้นไวๆ
จริงๆ ผมไม่ค่อยจะชอบภาวะของหการรอคอยแบบนี้เท่าไหร่
เพราะลึกๆ เราก็รู้อยู่เต็มอกอันแสนแน่นของเราว่าถึงเวลาจริงๆ มกราคมมันก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก
ต้นฉบับ รถติด ชีวิตเงินผ่อน และฝันกลางวันกับล็อตเตอรี่(ที่ไม่เคยซื้อ)
แต่ตื้นๆ เทศกาลปบบนี้ก็ดี ที่ทำให้เราได้เจอญาติพี่น้อง ที่ไม่ได้เจอกันมานาน
เด็ก เวลาแบบนี้นี่ล่ะ ที่จะมีโอกาสได้เงินก้นถุงจากพวกผู้ใหญ่
เงินฟรี ขนมฟรี และกล่องของขวัญ แสนหอมหวานจริง จริ้ง
(แต่ตอนนี่ถึงตาต้องให้เขาบ้างนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน)
จริงๆ ผมเองก็ไม่ค่อยมีอะไรจะคุยเท่าไหร่
เพิ่งกลับมาจากเขาใหญ่ อากาศหนาวเหมือนจะฆ่าใครตายได้
แต่กวาง เก้งช้างเชิ้งที่นั่นไม่เห็นหนาวด้วย ก็เลยพอได้เห็นบ้าง
(แต่รถส่องสัตว์ เยอะยังกะรถส่งคนงานตามโรงงานเลยล่ะ)
ไว้จะมาเล่ายาวๆ ให้ฟัง ตอนนี้ง่วงนอนมาก เมื่อคืนหนาวจนนอนไม่ค่อยหลับ
หวังว่ากลับบ้านลำปางต่างจังหวัด คงไม่หนาวขนาดนั้น
ปรื๋อยๆ ...คิดแล้วก็หนาว

Wednesday, December 20, 2006

กัลยาณมิตร

สิ่งที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ทุกคน คือต้องมีกัลยาณมิตร
กัลยาณมิตร คือผู้ที่พูดในสิ่งที่เราไม่อยากฟัง
/ พระพุทธเจ้า

Friday, December 08, 2006

ใครไม่เห็นด้วยยกมือขึ้น


13.00 น.หน้าหอสมุดจุฬาฯ 7 ธ.ค.49

"ความทุกข์ความเศร้าโศกอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ชัยชนะของสงคราม ความโหดร้ายข่มขู่ต่างๆ การขาดความซื่อสัตย์ ความอยุติธรรม แสดงให้เราเห็นถึงความหมายของธรรมชาติของโลก และการมีอยู่

ชีวิตของคนส่วนใหญ่จึงเป็นเพียงการต่อสู้เพื่อ มีอยู่ ตลอดเวลา

บนความแน่นอนที่ว่าวันหนึ่งเราจะต้องสูญเสียมันไปในที่สุด"

/Schopenhauer, นักปรัชญา
ใครไม่เห็นด้วยยกมือขึ้น!

Thursday, December 07, 2006

Please try harder

"Sadness is easier because its surrender.
I say make time to dance alone with one hand waving free."

/Claire Colburn จากหนัง Elizabethtown